“ภากร” ย้ำอย่า “แพนิก” ตลาดต่างชาติ “เริ่มฟื้น” ไร้เหตุขายต่อ

"ภากร" ชี้ SET ดิ่งหนักเหตุแพนิกมากเกินไป วอนนักลงทุนอย่าตื่นตระหนก หลังดาวโจนส์ฟิวเจอร์เริ่มดีดงกลับ พร้อมย้ำไม่พบชอร์ตเซลผิดปกติ เพียงต่างชาติ-กองทุน-พร็อพเทรดขาย


นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า วันนี้(14มี.ค.66)ตลาดหุ้นไทยดิ่งลงหนักถึง 50 จุด เป็นไปตามทิศทางตลาดหุ้นทั่วเอเชียที่ปรับตัวลงเฉลี่ย 2-3% และราคาน้ำมันเบรนท์ก็ปรับตัวลงมาถึง 2.1% กดดันหุ้นกลุ่มพลังงานที่มีน้ำหนักในตลาดหุ้นไทยค่อนข้างมาก รวมถึงยังมีหุ้นการค้าและอิเล็กทรอนิกส์ที่ปรับลงจากความกังวลว่าเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวได้ช้า หลังจากดอกเบี้ยทั่วโลกสูงขึ้น และสภาพคล่องลดลง

สำหรับเหตุการณ์ธนาคารซิลิคอน วัลเลย์ แบงก์ (Silicon Valley Bank) หรือ SVB ปิดตัวลง ทางการสหรัฐและอังกฤษได้มีนโยบายที่ออกมาอย่างเข้มแข็ง ซึ่งการแก้ปัญหาของทั้งสองประเทศเป็นไปอย่างรวดเร็วและเด็ดขาดมาก ทำให้เชื่อว่าวิกฤติแบงก์ในสหรัฐล้มจะไม่ลุกลามออกไป

ส่วนภาคธนาคารประเทศไทย ทางธนาคารแห่งประเทศไทย ก็ได้ออกมายืนยันว่าฐานทุน (capital bast) ยังเพียงพอ ที่จะรองรับ และยังมีการกระจายสินทรัพย์ (Asset-Based) ออกไป

นายภากร มองว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็น Over-React ของตลาด โดยแนะนักลงทุนติดตามข้อมูลและพิจารณาความสมเหตุสมผลของสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ ขณะที่วันนี้ตลาดปรับตัวลงไป 49.18 จุด พบว่ากลุ่มนักลงทุนต่างประเทศและนักลงทุนสถาบันมีการขายมากที่สุดราวหมื่นล้านบาท ขณะที่นักลงทุนบุคคลเข้าซื้อเกือบ 10,000 ล้านบาท

“วอนนักลงทุนอย่าตื่นตระหนก เราเริ่มเห็นสัญญาณที่ดีขึ้น โดยตลาดหุ้นสหรัฐและยุโรปวันนี้ก็ไม่ได้ตื่นตระหนกเหมือนเมื่อวานแล้ว”

สำหรับตลาดหุ้นที่ปรับตัวลงเร็วและแรงในช่วงท้ายตลาด นายภากร กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยถือเป็นตลาดสุดท้ายที่ยังเปิดทำการอยู่ในภูมิภาคเอเชีย ทำให้ได้รับผลกระทบจากแรงขายค่อนข้างมากหลังจากตลาดอื่นปิดทำการไปแล้ว ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องการบังคับขายหุ้น (force sell) รวมถึงยังไม่เห็นสัญญาณการชอร์ตเซลผิดปกติ โดยยังอยู่ในระดับต่ำกว่า 10% ไม่ได้ต่างจากวันอื่นๆ

พร้อมกันนี้หากมองไปในระยะยาว การฟื้นตัวของตลาดหุ้นไทยขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย โดยเฉพาะเรื่องของอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และสภาพคล่องที่ลดลง ซึ่งถือเป็นปัจจัยกดดันหลัก โดยให้ติดตามตัวเลขข้อมูล เงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย สภาพคล่องของตลาดเงินทั่วโลกให้ดี และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ ที่น่าจะฟื้นตัวได้ไม่เท่ากัน ขณะที่มองไทยจะฟื้นตัวได้ดีกว่าปีก่อน จากภาคท่องเที่ยว บริโภค โรงแรม โรงพยาบาล รับอานิสงค์การเปิดประเทศ

นายภากร กล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วง 2-3 ปี ที่ผ่านมา นักลงทุนสถาบันประเภทกองทุนในประเทศหายไปค่อนข้างมาก เนื่องจากเม็ดเงินจากกองทุน LTF หายไป ทำให้เวลาเมื่อมีโอกาสเข้ามาลงทุนระยะยาวผ่านกองทุนรวมหายไปมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่ตลาดหลักทรัพย์จะต้องทำงานร่วมกับ FETCO

อย่างไรก็ดี คงต้องติดตามสถานการณ์ในสหรัฐคืนวันนี้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญต่อทิศทางตลาดหุ้นไทยในวันพรุ่งนี้

Back to top button