OR ตั้งงบปี 66 กว่า 3.1 หมื่นลบ. เร่งขยายธุรกิจ มั่นใจ Q1 สดใส

OR ตั้งงบลงทุนปี 66 กว่า 3.1 หมื่นลบ. เร่งขยายร้าน “Cafe Amazon” เพิ่ม 400 แห่ง เพิ่มสาขาปั๊มน้ำมัน-สถานีชาร์ทแบตเตอรี่ มั่นใจไตรมาส 1/66 สดใส ขานรับค่าการตลาดกลับสู่ปกติ-ปริมาณขายน้ำมันโต


น.ส.วิไลวรรณ กาญจนกันติ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านบริหารการเงิน บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เปิดเผยข้อมูลภาพรวมธุรกิจของบริษัทผ่านงาน Opportunity Day จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในวันที่ 16 มีนาคม 2566 ว่า บริษัทคาดผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/66 จะเติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 4/65 หลังจากค่าการตลาด (Marketing margin) กลับมาสู่ภาวะปกติที่ราว 0.70-1.30 บาท/ลิตร รวมถึงปริมาณขายน้ำมันก็เพิ่มขึ้นรับการเปิดประเทศและการบริโภคฟื้นตัว

ขณะที่ผลงานทั้งปี 66 มั่นใจว่าจะเติบโตดีกว่าปีก่อน โดยประเมินปริมาณขายน้ำมันจะสอดคล้องกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทย (GDP) ที่คาดว่าจะเติบโตราว 2.7-3.7% หลังจากการเปิดประเทศคาดนักท่องเที่ยวจะเดินทางเข้ามาในปีนี้ราว 28 ล้านคน และเงินเฟ้อคาดว่าจะชะลอตัวลงเหลือ 2.5-3.5% รวมถึงการเลือกตั้งหนุนบรรยากาศทางเศรษฐกิจด้วย

อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามสถานการณ์ความไม่สงบระหว่างรัสเซียและยูเครนที่อาจส่งผลกระทบให้ราคาน้ำมันผันผวน เบื้องต้นยังประเมินราคาน้ำมันปี 66 เฉลี่ยที่ 80-87 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล

โดยในปีนี้บริษัทจะใช้เงินลงทุน 31,200 ล้านบาท แบ่งเป็น ลงทุนใน Lifestyle ผ่านการหาพาร์ทเนอร์ หรือการร่วมลงทุน (M&A) ในวงเงิน 14,200 ล้านบาท และอีก 5,000 ล้านบาท ใช้ขยาย Cafe Amazon เพิ่มอีก 400 แห่ง , Texas Chicken อีก 12 แห่ง และอื่นๆ

ด้านการลงทุนในธุรกิจ Mobility แบ่งเป็น ใช้ขยายสถานีให้บริการปั๊มน้ำมัน (PTT Station) 122 แห่ง ,ใช้ขยายสถานีชาร์ทรถพลังงาน (EV Station) อีก 500 แห่ง เพื่อหวังขึ้นเป็นผู้นำในธุรกิจดังกล่าว วงเงิน 6,800 ล้านบาท และกลุ่มธุรกิจ Innovation & New business ราว 5,200 ล้านบาท เพื่อหาโอกาสการลงทุนใหม่และแพลตฟอร์ม เทคโนโลยี เพื่อสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจหลัก

สำหรับรายการลูกหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะจากภาครัฐ มาจากการคงค้างการชำระคืนเงินกองทุนน้ำมัน อย่างไรก็ตาม เงินกองทุนน้ำมันค้างรับที่ภาครัฐมีการค้างไว้กับ OR เริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น จากสิ้นปี 65 รัฐบาลคืนเงินมาบางส่วน ทำให้เงินคงค้างชำระลดลงมาอยู่ที่ราว 30,000 ล้านบาท และลดลงต่อเนื่องจนต้นเดือน มี.ค.66 เหลือประมาณ 20,000 ล้านบาท เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาภาครัฐได้รับเงินกู้จากสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) มาทยอยคืนให้ภาคเอกชน

อนึ่งผลการดำเนินงานปี 2565 มีรายได้ขายและบริการ  789,785 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54.3% จากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ที่คลี่คลาย ทำให้ภาพรวมปริมาณขายปรับเพิ่มขึ้นกว่า 15% ในทุกกลุ่มธุรกิจ และยังได้รับส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุน (Share of Income) ที่เพิ่มขึ้น โดยหลักมาจากบริษัท ท่อส่งปิโตรเลียมไทย จำกัด และผลประกอบการที่ดีขึ้นจากการร่วมลงทุนกับพันธมิตร (Partners) ในกลุ่มธุรกิจ Lifestyle ในช่วงปี 2564 แต่ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2565 จะมีต้นทุนผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นในส่วนของธุรกิจ Mobility ส่งผลให้ในปี 2565 มีกำไรสุทธิ 10,370 ล้านบาท ลดลง 9.62% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 11,474.03 ล้านบาท

Back to top button