โบรกชู MINT ท็อปพิก กำไร Q2 สดใสรับ “ไฮซีซั่น” ดันทั้งปีโต

“บัวหลวง” ยก MINT ท็อปพิกเนื่องจากราคาหุ้นสะท้อนงบ Q1 ที่เป็นโลว์ซีซั่นแล้ว คาดไตรมาส 2 สดใสหลังเข้าไฮซีซั่น จึงเป็นช่วงที่ดีในการช้อนซื้อ


บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ เลือกให้ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT เป็นหนึ่งในหุ้นเด่น (ท็อปพิก) เนื่องจากเห็นสัญญาณกำไรในไตรมาส 2/66 ที่แข็งแกร่ง และกำลังจะได้รับอานิสงส์จากช่วงฤดูการท่องเที่ยวไฮซีซั่นในทวีปยุโรป ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีโรงแรมส่วนใหญ่ของ ไมเนอร์ ตั้งอยู่ ภายใต้แบรนด์โรงแรม NH และเป็นกลุ่มโรงแรมที่สร้างรายได้หลักให้กับบริษัท

“แนะนําให้ลงทุนใน MINT ก่อนที่จะเข้าช่วงไฮซีซั่นของการท่องเที่ยวของยุโรปในไตรมาส 2/66 โดยคาดกําไรไตรมาส 2/66 จะขยายตัวจากไตรมาสก่อน จากไฮซีซั่นของโรงแรม NH” หลักทรัพย์บัวหลวง กล่าว

โดยจากการสอบถามผู้บริหารของ MINT หลักทรัพย์บัวหลวง ยังได้กล่าวถึงต้นทุนพลังงานในทวีปยุโรปที่มีแนวโน้มเป็นขาลงตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 เป็นต้นไป

“ถึงแม้ว่าไตรมาสแรกของปีจะเป็นช่วงโลว์ซีซั่นของในทวีปยุโรป แต่สถิติการดำเนินงานในเดือนเมษายนและยอดจองห้องพักในไตรมาสต่อๆ ไป สร้างความมั่นใจให้ว่าจะเห็นการเติบโตที่แข็งแกร่งไปจนถึงสิ้นปีนี้” นายชัยพัฒน์ ไพฑูรย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของ MINT กล่าว

ทั้งนี้ MINT ยังคงได้รับอานิสงส์จากความต้องการจากนักเดินทางทั่วโลก ทั้งเพื่อการพักผ่อนและการจัดประชุมต่างๆ (MICE) ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการกลับมาของนักท่องเที่ยวจากประเทศจีน ส่งผลให้แนวโน้มการดำเนินงานโดยรวมของธุรกิจโรงแรมมีความแข็งแกร่ง โดย ณ ปัจจุบัน โรงแรมที่ MINT ดำเนินงานในประเทศไทยมีอัตราการเข้าพักสูงกว่ากว่าร้อยละ 70 ซึ่งสูงกว่าอัตราการเข้าพักในช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ที่ร้อยละ 45 และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โรงแรมในทวีปยุโรปก็คาดการณ์อัตราการเข้าพักสูงขึ้นเช่นเดียวกัน จากร้อยละ 60 ในไตรมาสแรกของปี 2566 เป็นสูงกว่าร้อยละ 70-75 ในไตรมาสที่เหลือของปี

ขณะเดียวกัน ธุรกิจร้านอาหารของ MINT ก็ทำยอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา จากความสำเร็จในการปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ของแบรนด์ร้านอาหารในเครือให้มีความทันสมัยยิ่งขึ้น ซึ่งรวมถึงแบรนด์สเวนเซ่นส์ ซิซซ์เล่อร์ และบอนชอน โดยมียอดขายเฉลี่ยวันละกว่า 100 ล้านบาท สูงกว่าช่วงก่อนการเกิดโควิดในปี 2562 ถึงร้อยละ 12

Back to top button