เปิดรายชื่อกลุ่ม SET วิ่งคึกรอบ 5 เดือน ชู SKY-SISB รีเทิร์นสูงทะลุ 100%

เปิดโผหุ้น SET วิ่งแรงในรอบ 5 เดือน ชู SKY,SISB,SAPPE,MPIC,TRC,NCAP,KBS,Q-CON,SUN,KAMART โกยรีเทิร์นสูง 50-100%


ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ทำการสำรวจกลุ่มหุ้น SET ในช่วง 5 เดือนเดือนแรกปี 2566 โดยเทียบราคาหุ้นปิด ณ วันที่ 30 ธ.ค.65-31 พ.ค.66 เพื่อให้เห็นทิศทางหุ้นรายใดปรับตัวขึ้นโดดเด่น ท่ามกลางความผันผวนของราคาน้ำมัน อัตราเงินเฟ้อ และการเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดต่อเนื่อง

โดยเฉพาะเดือนพ.ค.ที่ผ่านมามีปัจจัยที่ทำให้ตลาดผันผวน ทั้งการเจรจาเพื่อขยายเพดานหนี้สหรัฐฯ และการเลือกตั้งในไทย ซึ่งทั้ง 2 ประเด็นมีความเคลื่อนไหวที่ส่งผลต่อ SET Index ปรับตัวทั้งด้านบวกและลบ นอกจากนี้ตั้งแต่ต้นปี 66 ถึงปัจจุบันต่างชาติขายหุ้นไทยออกมา 1 แสนล้านบาท แสดงให้เห็นว่าต่างชาติยังไม่มั่นใจการลงทุนหุ้นไทยในช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านทางการเมือง

อย่างไรก็ตามแม้ว่าตลาดหุ้นผันผวน แต่ยังมีกลุ่มหุ้น SET ในช่วง 5 เดือนที่ปรับตัวแกร่งกว่าตลาด โดยเฉพาะ 10 อันดับของกลุ่มได้แก่ SKY, SISB, SAPPE, MPIC, TRC, NCAP, KBS ,Q-CON,SUN และ KAMART พบว่าให้ผลตอบแทนสูงสุด 50-100% ดังตารางประกอบ

อันดับ 1  บริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) หรือ SKY ราคาหุ้น 5 เดือนปีนี้ปรับตัวขึ้นแรง 112.60% โดยเทียบตั้งแต่หุ้นยืนที่ระดับ  12.70บาท เมื่อวันที่ 31 ธ.ค.65 มาอยู่ที่ระดับ 27.00 บาท เมื่อวันที่ 31 พ.ค.66 คาดราคาหุ้นปรับตัวแรงส่วนใหญ่รับแรงหนุนจากแผนธุรกิจปี 66 โดดเด่น และหลังโชว์ผลงานไตรมาส 1/66 ออกมาโตแกร่ง

นายสิทธิเดช มัยลาภ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SKY เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/66 (ม.ค.-มี.ค. 66) บริษัทสามารถทำรายได้ 820 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า 75% และมีกำไรสุทธิ 83 ล้านบาท ถือเป็นผลการดำเนินงานที่น่าพึงพอใจ ซึ่งสาเหตุหนึ่งที่บริษัทสามารถสร้างการเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง เนื่องจากรายได้จากโครงการที่เกี่ยวเนื่องกับท่าอากาศยาน อย่างระบบบริการผู้โดยสารขึ้นเครื่อง (CUPPS) และโครงการการให้บริการระบบตรวจสอบและคัดกรองผู้โดยสารล่วงหน้า (APPS) ขยายตัวเพิ่มขึ้น หลังอุตสาหกรรมการบินและการท่องเที่ยวประเทศไทยฟื้นตัว มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้า-ออกประเทศไทยมากขึ้น

ทั้งนี้ ณ สิ้นไตรมาส 1/2566 บริษัทมีงานที่อยู่ระหว่างการรอส่งมอบตามสัญญา (Backlog) อยู่ทั้งสิ้นประมาณ 22,900 ล้านบาท คาดว่าจะทยอยรับรู้ภายในปีนี้ไม่ต่ำกว่า 2,500 ล้านบาท สร้างการเติบโตให้กับสกาย กรุ๊ปอย่างแข็งแกร่ง

สำหรับแผนการดำเนินงานในไตรมาส 2/66 บริษัทฯ ยังคงมุ่งพัฒนาและสร้างสรรค์เทคโนโลยีด้าน Aviation Tech ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับการบริการภายในสนามบิน (Airport Services) ให้มีประสิทธิภาพและคล่องตัว ช่วยเพิ่มความสามารถ (Capacity) ของท่าอากาศยานในการรองรับการกลับมาของนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่พร้อมจะหลั่งไหลเข้าประเทศไทยตลอดทั้งปี ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสเติบโตให้กับสกาย กรุ๊ป ควบคู่ไปกับการเดินหน้าเข้าประมูลงาน ทั้งโครงการภาครัฐและเอกชน มูลค่ารวมหลักหลายพันล้านบาท เสริมความแข็งแกร่งให้กับบริษัทในอนาคต

ขณะเดียวกันบริษัทฯ ยังมีแผนปรับโครงสร้างยกระดับองค์กรสู่ “Beyond Tech Company” มุ่งสร้างองค์กรให้เป็นมากกว่าผู้พัฒนาเทคโนโลยี และเปิดตัวบริษัทลูกเพื่อขยายธุรกิจใหม่ เสริมความมั่นคงแข็งแกร่งให้กับบริษัทในระยะยาว สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ Connecting Thailand วางโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีของประเทศให้แข็งแกร่ง พร้อมเปิดรับความก้าวล้ำของเทคโนโลยีระดับโลกสู่การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ และพัฒนาบุคลากรเติมเต็ม Tech Ecosystem ขับเคลื่อนประเทศไทยให้พร้อมรับทุกความเปลี่ยนแปลงของโลก โดยคาดว่าจะเปิดเผยรายละเอียดเร็วๆ นี้

อันดับ 2 บริษัท เอสไอเอสบี จำกัด (มหาชน) หรือ SISB ราคาหุ้น 5 เดือนปีนี้ปรับตัวขึ้นแรง 107.03% โดยเทียบตั้งแต่หุ้นยืนที่ระดับ  19.20 บาท เมื่อวันที่ 31 ธ.ค.65 มาอยู่ที่ระดับ 39.75 บาท เมื่อวันที่ 31 พ.ค.66 คาดราคาหุ้นปรับตัวแรงส่วนใหญ่รับแรงหนุนจากแผนธุรกิจปี 66 โดดเด่น และหลังโชว์ผลงานไตรมาส 1/66 ออกมาโตแกร่ง และลุ้นผลงานไตรมาส 2/66 โตแกร่งต่อเนื่อง

ด้านนายยิว ฮอค โคว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SISB เปิดเผยว่าภาพรวมผลการดำเนินงานในงวดไตรมาส1/66 บริษัทฯมีรายได้รวมเท่ากับ 435.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38.94 ล้านบาท คิดเป็น 9.8% จากช่วงไตรมาส 4/65 ที่มีรายได้รวม 396.54 ล้านบาท

โดยปัจจัยที่สนับสนุนให้รายได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีจำนวนนักเรียนทั้งไทยและต่างชาติเข้ามาเรียนมากขึ้น โดยผู้ปกครองนิยมส่งบุตรหลานมาเรียนในโรงเรียนระบบนานาชาติมากขึ้น การเรียนการสอนทำได้ตามปกติ ทำให้สามารถรับรู้รายได้จากการจัดกิจกรรมต่างๆ ที่เข้ามามากขึ้น รวมทั้งบริษัทฯสามารถบริหารจัดการต้นทุนค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับการดำเนินธุรกิจในช่วงไตรมาส 2/66 บริษัทฯประเมินว่า ยังคงมีทิศทางที่ดีต่อเนื่อง เพราะมีจำนวนนักเรียนไทยและต่างชาติเข้ามาศึกษาเพิ่มขึ้นอย่างคึกคัก ช่วยผลักดันให้จำนวนนักเรียนเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นภาพรวมการดำเนินธุรกิจในปี 2566 มั่นใจว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยคาดว่าจะมีจำนวนนักเรียนสิ้นปีนี้ แตะระดับ 3.7 พันคน

บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ซื้อ” หุ้น SISB ให้ราคาเป้าหมายใหม่ 30 บาท จากเดิม 24 บาทต่อหุ้น หลังประเมินกำไรสุทธิในช่วงปี 66-68 จะเติบโตต่อเนื่อง และในปี 69 เมื่อการขยายความสามารถในการรองรับนักเรียนเสร็จสิ้น SISB ประสบความสำเร็จในการขยายความสามารถในการรองรับนักเรียนในฐานะที่เป็นหนึ่งในโรงเรียนที่ดีที่สุดในภูมิภาค และเป็นบริษัทที่ยังอยู่ในช่วงของการเติบโตอย่างชัดเจน ซึ่งมองว่าอัตรากำไรขั้นต้นและกำไรสุทธิน่าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องสูงถึง 57.7% และ 37.5% ตามลำดับ

ทั้งนี้ ปัจจุบันโรงเรียนนานาชาติสิงคโปร์ SISB เป็นหนึ่งในโรงเรียนนานาชาติชั้นนำของประเทศไทย และเป็นโรงเรียนแห่งแรกในประเทศไทยที่นำหลักสูตรการศึกษาของสิงคโปร์มาใช้ ซึ่งมีชื่อเสียงในด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ส่วนภาษาก็เป็นอีกหนึ่งจุดแข็ง ซึ่งนักเรียนจะเรียนเป็นภาษาอังกฤษ ภาษาจีน และภาษาไทย

อันดับ 3 บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) หรือ SAPPE ราคาหุ้น 5 เดือนปีนี้ปรับตัวขึ้นแรง 91.53% โดยเทียบตั้งแต่หุ้นยืนที่ระดับ  44.25 บาท เมื่อวันที่ 31 ธ.ค.65 มาอยู่ที่ระดับ 84.75 บาท เมื่อวันที่ 31 พ.ค.66 คาดราคาหุ้นปรับตัวแรงส่วนใหญ่รับแรงหนุนจากแผนธุรกิจปี 66 โดดเด่น และหลังโชว์ผลงานไตรมาส 1/66 ออกมาโตแกร่ง และลุ้นผลงานไตรมาส 2/66 โตแกร่งต่อเนื่องและเก็งกำไรได้เข้า MSCI Small Cap รอบใหม่ซึ่งมีผล 31 พ.ค.66 ทำให้นักวิเคราะห์แนะนำเข้าลงทุนต่อเนื่อง

โดยเมื่อวันที่ 31 พ.ค.หุ้นไทยที่ได้ประกาศเข้าคำนวณ MSCI Rebalance รอบใหม่ ขณะที่บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) หรือ SAPPE ถูกปรับเข้า MSCI Global Small Cap Index ซึ่งมีผล 31 พ.ค.66

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ ยังคงแนะนำ “ซื้อ” หุ้น SAPPE ปรับราคาเป้าหมายใหม่เป็น 97 บาท เนื่องจากแนวโน้มผลประกอบการที่เติบโตต่อเนื่องจากการทำการตลาดและพัฒนาสินค้าใหม่ รวมถึงควบคุมต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ มองแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 2-3 ของปีนี้ยังเติบโตต่อเนื่อง จากทั้งในประเทศและส่งออก

ขณะที่ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ ยังคงแนะนำ “ซื้อ” SAPPE พร้อมปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 88 บาท จากเดิม 68 บาท มีค่า P/E ในปี 2566 อยู่ที่ 25 เท่า โดยราคาหุ้นปรับตัวได้ดีกว่าคู่แข่งโดยกระโดดเพิ่ม 69% ในปี 2565 และในปี 2566 อยู่ที่ 70% นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน คิดว่าราคาหุ้นได้ สะท้อนคาดการณ์การเติบโตของกำไรที่อยู่ในระดับสูงไปแล้วบางส่วน อย่างไรก็ดีราคาเป้าหมายใหม่ มีอัพไซด์อยู่ที่ 16.9%

นอกจากนี้ บล.กรุงศรี  ระบุในบทวิเคราะห์ ยังคงแนะนำ “ซื้อ”  SAPPE ประเมินราคาเป้าหมายที่ 94 บาท โดยมองแนวโน้มการเติบโตในระยะยาวจากการเติบโตของยอดขายในต่างประเทศ โดยเฉพาะในยุโรป คาดว่ายอดขายจะเติบโต 72% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนในปี 2566 ซึ่ง SAPPE กำลังขยายเครือข่ายจัดจำหน่าย

ขณะที่คาดว่ายอดขายในประเทศไทยจะเติบโต 27% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนในปีนี้ จากการฟื้นตัวหลังโควิด-19 และมีการนำสินค้าใหม่ๆ ออกวางตลาด เชื่อว่ากำไรจากธุรกิจหลักของ SAPPE จะเพิ่มขึ้นเท่าตัวในช่วงปี 2566-2571 จากการเติบโตของยอดส่งออก ทั้งนี้ค่า P/E ในปี 2566 อยู่ที่ 25 เท่า

อันดับ 4 บริษัท เอ็ม พิคเจอร์ส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ MPIC ราคาหุ้น 5 เดือนปีนี้ปรับตัวขึ้นแรง 86.39% โดยเทียบตั้งแต่หุ้นยืนที่ระดับ 1.47 บาท เมื่อวันที่ 31 ธ.ค.65 มาอยู่ที่ระดับ 2.74 บาท เมื่อวันที่ 31 พ.ค.66 สำหรับราคาหุ้นปรับตัวแรงโดยฉพาะในช่วงในเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา คาดนักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรประเด็นนักลงทุนรายใหญ่เข้ามาซื้อหุ้น เพื่อพลิกฟื้นธุรกิจ ส่งผลให้ราคาหุ้นทะยานแรง

โดยล่าสุดนางสาวฐิตาภัสร์ อิสราพรพัฒน์ เลขานุการ บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAJOR ได้เข้าลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้นสามัญทั้งหมดที่บริษัทถืออยู่ใน MPIC จำนวน 1,202.13 ล้านหุ้นเศษ คิดเป็นสัดส่วน 92.46% ของหุ้นที่ออกจําหน่ายแล้วทั้งหมดของ MPIC ในราคารวมทั้งสิ้น 650 ล้านบาท ให้กับ นายขันเงิน เนื้อนวล ซึ่งไม่ใช่บุคคลที่เกี่ยวโยงกัน เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา

ด้าน นายขันเงิน กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ตนในฐานะผู้ซื้อได้ให้ นายชินวัฒน์ อัศวโภคี ซึ่งเป็นที่ปรึกษา เข้าเจรจาและทำ MOU จะซื้อขายหุ้น MPIC ให้กับตน ซึ่งช่วงนั้นมีผู้สนใจหลายราย จึงจำเป็นต้องหาคนเป็นตัวแทนจับจองซื้อให้เอาไว้ก่อน เพื่อให้เกิดสัญญา เมื่อเกิดความชัดเจนในการซื้อขายหุ้น ตนในฐานะผู้ซื้อที่แท้จริงจึงเข้าทำสัญญาซื้อขายในนามตนเอง และ การตัดสินใจเข้าสนใจซื้อหุ้น MPIC ในครั้งนี้ เนื่องจากธุรกิจของ MPIC สอดคล้องกับธุรกิจบันเทิงที่ตนเองทำอยู่ และธุรกิจอื่นๆ ในอนาคตนั่นเอง

สำหรับธุรกิจเดิมของ MPIC ไม่ว่าจะเป็นการจัดซื้อลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ไทยและต่างประเทศ รวมถึงธุรกิจผลิตภาพยนตร์ไทยจะยังดำเนินการตามปกติ โดยที่ MAJOR ยังคงเป็นพันธมิตรเช่นเดิม และจะเน้นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจบันเทิงให้ครอบคลุมมากขึ้น เช่น การจัดงาน การจัด Event ไม่ว่าจะเป็นงานเพลง หรือ Concert ต่าง ๆ ทั้งศิลปินไทยและศิลปินต่างชาติ เพื่อให้ MPIC เป็นบริษัทบันเทิงที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ครอบคลุมในหลากหลายมิติ

อันดับ 5 บริษัท ทีอาร์ซี คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRC ราคาหุ้น 5 เดือนแรกปีนี้ปรับตัวขึ้นแรง 79.31% โดยเทียบตั้งแต่หุ้นยืนที่ระดับ 0.23 บาท เมื่อวันที่ 31 ธ.ค.65 มาอยู่ที่ระดับ 0.52 บาท เมื่อวันที่ 31 พ.ค.66 สำหรับราคาหุ้นปรับตัวแรง คาดนักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรประเด็นรัฐบาลไฟเขียวฟื้นโครงการเหมืองโปแตชชัยภูมิ มูลค่า 63,800 ล้านบาทอีกครั้ง

เนื่องจาก TRC จะได้รับผลตอบแทนจากเงินลงทุนตามสัดส่วนการถือหุ้น 25.13% ในระยะยาวต่อไป และจะได้ประโยชน์ทันที คือการบันทึกกลับรายการบัญชีจาการตั้งสำรองฯ ไปแล้วกว่า 2,094 ล้านบาท พร้อมทั้งมีโอกาสรับงานด้านการก่อสร้างโครงการนี้ลำดับถัดไป และสุดท้ายเมื่อดำเนินการเดินเครื่องผลิต TRC

สำหรับโครงการดังกล่าว เบื้องต้นประเมินว่าจะมีกําลังการผลิตแร่โปแตชประมาณ 1.2 ล้านตันต่อปี โดยใช้เวลาพัฒนาโครงการประมาณ 3 ปี และสามารถผลิตได้ประมาณ 13 ปี 5 เดือน สิ้นสุดประทานบัตรวันที่ 5 ก.พ. 2583 และโครงการนี้ได้รับ EIA เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยสามารถทดแทนการนําเข้าแม่ปุ๋ยโพแทสเซียมจากต่างประเทศ ประมาณ 7-8 แสนตันต่อปี ช่วยให้เกษตรกรเข้าถึงปุ๋ยโพแทสเซียมราคาถูกลงประมาณ 20-30%

ด้านผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจาก TRC ได้มีมติอนุมัติให้เงินกู้ยืมกับ TRC Investment Limited และ TRC International Limited (TRC Inter) รวมเป็นเงินมูลค่าไม่เกิน 113,303,500 บาท ซึ่งบริษัทเข้าถือหุ้นบริษัทย่อยในสัดส่วน 100% และบริษัทย่อยถือหุ้น TRC Inter ในสัดส่วน 100% ตามลำดับ การทำรายการนี้เพื่อใช้ในการลงทุนในหุ้นสามัญของบริษัท อาเซียนโปแตชชัยภูมิ จำกัด (มหาชน) (APOT) ตามสัดส่วนการถือครองหุ้นของบริษัทย่อยใน APOT ซึ่งบริษัท TRC Investment Limited ถือครองหุ้นตามสัดส่วน 22.4535% และบริษัท TRC International Limied ถือครองหุ้นตามสัดส่วน 2.6730% นั้น

ล่าสุดนายภาสิต ลี้สกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TRC เปิดเผยว่า ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ APOT ได้ใส่เงินเพิ่มทุนตามสัดส่วนการถือหุ้นครบหมดแล้ว จำนวน 450 ล้านบาท แบ่งเป็น TRC จำนวน 113 ล้านบาท ตามสัดส่วนถือหุ้น 25% กระทรวงการคลัง ใส่เงินเพิ่มทุน 90 ล้านบาท สัดส่วนถือหุ้น 20% และล่าสุดมีผู้ถือหุ้นรายใหม่เข้ามาร่วมเพิ่มทุนในสัดส่วน 25% แบบ RO แทนผู้ถือหุ้นเดิมที่ไม่ใช้สิทธิ

ทั้งนี้ บริษัทดังกล่าวเป็นบริษัทในเครือของบริษัทรายใหญ่แห่งหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการผลิตแบตเตอรี่และยานยนต์ไฟฟ้า

Back to top button