TAN ยื่นไฟลิ่งขาย “ไอพีโอ” 77.50 ล้านหุ้น เข้าตลาด SET ขยายระบบนิเวศทางธุรกิจ

TAN ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์แฟชั่นระดับลักชัวรี ยื่นแบบไฟลิ่งต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อเสนอขาย IPO ไม่เกิน 77.5 ล้านหุ้น เตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาด SET เตรียมนำเงินลงทุนขยายระบบนิเวศทางธุรกิจ มุ่งเติบโตอย่างยั่งยืน


นายธนพงษ์ จิราพาณิชกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ธนจิรา รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TAN เปิดเผยว่า กลุ่มบริษัทฯ ประกอบธุรกิจนำเข้าและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์และแฟชั่นจากต่างประเทศที่เป็นแบรนด์ชื่อดังระดับโลก เพื่อจัดจำหน่ายในประเทศไทยและต่างประเทศ โดยใช้ความเชี่ยวชาญด้านการนำเสนอแบรนด์ผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์ให้เป็นที่รู้จักในประเทศไทย โดยการเป็นตัวกลางระหว่างเจ้าของแบรนด์และผู้บริโภค ผ่านการนำเสนอความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ที่มากด้วยคุณภาพ ถ่ายทอดจุดเด่นของแต่ละแบรนด์สู่ผู้บริโภค (Brand Experience) เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับสิ่งที่ดีที่สุด ด้วยความตั้งใจของกลุ่มบริษัทฯ ที่มีเป้าหมายในการนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุดของแบรนด์มาสู่ผู้บริโภคชาวไทย ภายใต้แนวคิด Bring The Best of The Brand to The Best of Thailand”

โดยปัจจุบัน กลุ่มบริษัทฯ จัดจำหน่ายแบรนด์ผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์แฟชั่นชั้นนำจากต่างประเทศ 3 แบรนด์ ได้แก่ Pandora เครื่องประดับเงินชั้นนำจากประเทศเดนมาร์ก Marimekko ผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์ที่โดดเด่นด้านลายพิมพ์และสีสันจากประเทศฟินแลนด์ และ Cath Kidston ผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์กลิ่นอายโมเดิร์นวินเทจจากประเทศอังกฤษ

นอกจากนี้ยังมีแบรนด์ผลิตภัณฑ์ของกลุ่มบริษัทฯ 2 แบรนด์ ได้แก่ HARNN ผลิตภัณฑ์บอดี้แคร์ สกินแคร์ สปา และอโรมาเทอราพี และ Vuudh ผลิตภัณฑ์เครื่องหอมสไตล์ไทยร่วมสมัย กลุ่มบริษัทฯ ยังได้ขยายธุรกิจไปยังธุรกิจสปา มี 4 แบรนด์ย่อย ได้แก่ HARNN Heritage Spa, The Spa by HARNN, By HARNN, และ Scape by HARNN โดยแต่ละแบรนด์มีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่แตกต่างกัน ตั้งแต่ระดับลักซ์ชัวรี อัปเปอร์สเกลหรือบูทีค ลักชัวรีแอนด์ไลฟ์สไตล์ และพรีเมียม

โดยมีการคัดเลือกแฟรนไชซีจากเครือโรงแรมชั้นนำของโลกเพื่อรักษามาตรฐานการให้บริการ กลุ่มบริษัทฯ ยังมีการประกอบธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องอื่น เช่น ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ภายใต้ชื่อ Marimekko pop-up café และ Cath Kidston Tearoom เพื่อผสมผสานผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์ที่มีในพอร์ตธุรกิจของบริษัทฯ โดยมุ่งเน้นการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่ผู้บริโภค

ทั้งนี้ กลุ่มบริษัทฯ มีช่องทางการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายเพื่อเพิ่มช่องทางการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายหลัก ทั้งกลุ่มลูกค้ารายย่อย ที่เรียกว่า “กลุ่ม Y-W-N (Youth-Women-Neitizens) ที่เป็นคนรุ่นใหม่ ผู้หญิงวัยรุ่นและวัยทำงานที่มีรายได้ปานกลางถึงสูง และกลุ่มลูกค้าธุรกิจ เช่น โรงแรม, ตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ เป็นต้น และสามารถเพิ่มจำนวนลูกค้า เพื่อสร้างการเติบโตของรายได้อย่างต่อเนื่อง โดยจัดจำหน่ายสินค้าและให้บริการผ่าน 3 ช่องทางหลัก ดังนี้

(1) หน้าร้านสาขาคอนเซปต์ สโตร์ (Concept Store) และช้อปอินช้อป (Shop in Shop) โดย ณ 31 ธันวาคม 2565 กลุ่มบริษัทฯ มีจำนวนสาขารวม 129 สาขา แบ่งเป็น ในประเทศ 114 สาขา และต่างประเทศอีก 15 สาขา

(2) ช่องทางการจัดจำหน่ายแบบออนไลน์ กลุ่มบริษัทฯ เล็งเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคหลังการแพร่ระบาดโควิด-19 จึงเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มการซื้อขายออนไลน์ (Marketplace) ทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งแพลตฟอร์มการซื้อขายผ่านโซเชียลมีเดีย (Social Commerce) เพื่อให้ลูกค้าสามารถเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ได้ตลอด 24 ชั่วโมงเสมือนการซื้อผลิตภัณฑ์ผ่านสาขาของกลุ่มบริษัทฯ

(3) ช่องทางการจัดจำหน่ายอื่นๆ เช่น การขายผ่านตัวแทนจำหน่ายในต่างประเทศ การจำหน่ายให้แก่ลูกค้าองค์กร (B2B) และงานอีเวนต์ต่างๆ ที่จัดขึ้นเป็นครั้งคราวสำหรับการจำหน่ายสินค้าลดราคา (Further Marked Down Stocks) และการจำหน่ายบัตรกำนัลสำหรับสปา (Spa Voucher)

“เราดำเนินธุรกิจนำเข้า และจัดจำหน่ายแบรนด์ผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์และแฟชั่นจากต่างประเทศ โดยการสร้างประสบการณ์ร่วมระหว่างผู้บริโภค และแบรนด์ ผ่านการนำเสนอคุณภาพผลิตภัณฑ์ และอัตลักษณ์อันโดดเด่นของแต่ละแบรนด์ให้เป็นที่นิยมทั้งในประเทศ และต่างประเทศ รวมถึงการนำอัตลักษณ์ของแบรนด์ภายใต้การบริหารของกลุ่มบริษัทฯ มาต่อยอดทางธุรกิจเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจอื่นๆ รวมทั้งมีวิชันที่จะนำกลุ่มบริษัทฯ มุ่งสู่การเป็นผู้นำกลุ่มธุรกิจไลฟ์สไตล์ชั้นนำในระดับภูมิภาค ผ่านการส่งมอบประสบการณ์ที่พิเศษแก่ลูกค้า และสร้างเติบโตอย่างยั่งยืน” นายธนพงษ์ กล่าว

ล่าสุด บริษัทได้แต่งตั้ง บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน  และได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 77.5 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 25.8 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญครั้งนี้ โดยบริษัทฯ มีแผนนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้เป็นส่วนหนึ่งของเงินลงทุนสำหรับการขยายระบบนิเวศทางธุรกิจ ชำระคืนเงินกู้ยืมให้กับสถาบันการเงิน และชำระคืนเงินกู้อื่นๆ ที่กลุ่มบริษัทฯ อาจมีขึ้นในอนาคต รวมถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนและการดำเนินการต่างๆ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อกิจการ

Back to top button