“ชัยยศ” แนะเก็บ “ADVANC-CBG” มองไตรมาส 2 กำไรเด่น!

“ชัยยศ จิวางกูร” คาดแนวโน้ม SET แกว่งตัวในกรอบ รอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เฟ้นหาหุ้นคาดผลประกอบการไตรมาส 2/66 ออกมาดี แนะนำหุ้น 2 ตัวท็อป ADVANC-CBG


นายชัยยศ จิวางกูร ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) หรือ KSS เปิดเผยผ่านรายการสด “ข่าวหุ้นเจาะตลาด” วันนี้ (5 ก.ค. 66) ว่าภาพของตลาดหุ้นไทยจากวานนี้มีการตอบรับในเชิงบวก เนื่องจากผลการเลือกประธานสภาฯ เป็นไปตามคาดการณ์ไว้ ส่งผลให้นักลงทุนต่างคาดหวังว่าจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ เพียงรอขั้นตอนต่อไปคือการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรี

ทั้งนี้ แม้ว่าตลาดหุ้นไทยจะมีการตอบรับเชิงบวก แต่ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียต่างพากันปรับตัวลงเพื่อรอในเรื่องของตลาดแรงงานสหรัฐ มีทั้งการจ้างงานนอกภาคการเกษตร รวมถึงภาคเอกชนด้วย มองว่าดัชนีในวันนี้จะมีการแกว่งตัว โดยให้แนวรับอยู่ที่ระดับ 1,510 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ระดับ 1,520-1,525 จุด

นายชัยยศ มองอีกว่า ไม่ว่าพรรคไหนจะได้รับการจัดตั้งรัฐบาลก็ตาม แต่เรื่องสำคัญมากที่สุดคือการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะตอนนี้เห็นได้ชัดเจนแล้วว่าประเทศคู่ค้าของไทยมีการหดตัว เช่น ทางฝั่งจีนและยุโรป ซึ่งถ้ามีการกระตุ้นเศรษฐกิจ ตลาดจะมีภาพเป็นบวกได้ เพราะตลาดชอบในเรื่องของเศรษฐกิจเติบโต ไม่ชอบในเรื่องของความไม่แน่นอนหรือเรื่องงบประมาณ

ส่วนการลงทุนยังแนะนำเป็นหุ้นรายตัว โดยเฟ้นหาตัวที่คาดว่างบการเงินในไตรมาส 2/66 จะออกมาเติบโตแข็งแกร่ง  โดยเฉพาะกลุ่มแบงก์ภาพรวมแล้วจะออกมาค่อนข้างดี ขณะที่ตัวอื่นอาทิ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC โดยคาดว่างบไตรมาส 2/66 อยู่ที่ 7,000 ล้านบาท จะเติบโตทั้งไตรมาสก่อนหน้า และจากช่วงเดียวกันของปีก่อน  รวมถึงคาดจะมีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลที่อาจเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งอัตราส่วนเงินปันผลตอบแทนราว 1.5%-2% คาดว่าจะเป็นปัจจัยบวกที่ทำให้ราคาหุ้นสามารถยืนได้ ให้ราคาพื้นฐาน 250 บาท

นอกจากนี้ยังแนะนำ บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG คาดว่าในไตรมาส 2/66 ผลการดำเนินงานจะดี โดยคาดกำไรสุทธิอยู่ที่ 420 ล้านบาท เติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 1/66 อยู่ที่ 260 ล้านบาท  แต่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนอาจดูอ่อนตัวลง อย่างไรก็ตามให้ราคาพื้นฐานอยู่ที่ 84 บาท

อย่างไรก็ตามประเด็นที่ต้องระวัง คือ ตัวเลขแรงงานในปลายสัปดาห์ของตลาดสหรัฐ กล่าวคือ วันที่ 6 ก.ค. 66 จะเป็นตัวเลขของการจ้างงานเอกชน ส่วนวันที่ 7 ก.ค.66 จะเป็นตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรและอัตราการว่างงาน ซึ่งตัวเลขทั้งหมดดังกล่าวส่งผลต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) โดยถ้าผลออกมาแล้วตัวเลขยังแข็งแรงมาก ๆ ทางเฟดมีแนวโน้มปรับดอกเบี้ยขึ้นต่อ ทำให้กดดันตัว Fund Flow

นอกจากนี้ยังมีประเด็นของเรื่องการเมืองไทย หากโหวตแล้วได้นายกรัฐมนตรีในทันที จะส่งผลดีต่อภาพรวมของตลาด แต่ถ้าหากผลการโหวตไม่ได้รับความชัดเจน กระบวนการก็จะยืดเยื้อออกไปอีก ตลาดก็จะมีความกดดัน ทางที่ดีที่สุดควรจบกระบวนการเลือกตั้งให้ไวที่สุด

Back to top button