“ศรพล ตุลยะเสถียร” ลั่น “ตลาดหุ้นไทย” เริ่มคลี่คลาย ชี้ “ท่องเที่ยว” ตัวชูโรง

 “ศรพล ตุลยะเสถียร” มองตลาดหุ้นไทยมีจุดยืนชัด ลุยแข่งขันภาคธุรกิจอาหาร-ท่องเที่ยว-การศึกษา พร้อมมองผลประกอบการครึ่งปีหลัง บจ. รายได้ฟื้นกว่าช่วงโควิด มิหนำช้ำไทยมีจุดแข็ง ความยั่งยืน มี 26 บริษัทไทยที่อยู่ในดัชนี DJSI และ12 บริษัทไทยเป็นผู้นำอุตสาหกรรมในกลุ่มดัชนีโลก  


ดร.ศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร และหัวหน้าสายงานพัฒนาความยั่งยืนตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวในงานสัมมนา “Battle Strategy แผนฝ่าวิกฤติ พิชิตสงคราม EPISODE V : วิกฤติมาทุกทิศ โอกาสมีทุกทาง” ว่า หลายปัจจัยเริ่มคลี่คลายในปี 2566 เช่น สถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่อนคลายไปเยอะ ธุรกิจเปิดปกติ และปีนี้ท่องเที่ยวจะเป็นตัวหลัก ขณะที่ปีที่แล้วสิ่งที่ surprise คือรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลต่อน้ำมัน เงินเฟ้อ เดือนที่ผ่านเงินเฟ้อเริ่มเอาอยู่ทั้งในสหรัฐฯ และไทย เงินเฟ้อแค่ 0.5% ถือว่าต่ำมากๆ สิ่งที่ห่วงหลายเรื่องเริ่มมีสัญญานที่ดีขึ้น แต่ยังมีหลายเรื่องที่ต้องคำนึง โดยเฉพาะทิศทางของเราในอนาคต

ด้านภาพรวมของเศรษฐกิจในตลาดหุ้นไทยมีภูมิคุ้มกันค่อนข้างดี ไม่ว่าจะเป็นหนึ้สาธารณะที่แต่ก่อนนั้นห่วงว่าจะพีคขึ้นเยอะโดยเฉพาะในช่วงโควิด-19 แต่ปัจจุบันที่ GDP ทยอยกลับมา ส่วนด้านรายรับของภาครัฐเกินเป้าหมายที่วางไว้สิ่งที่ห่วงคือ growth story คือการท่องเที่ยว เนื่องจากเมื่อก่อนมีนักท่องเที่ยว 40 ล้านคนต่อปี ตอนนี้ยังไปไม่ถึง คาดว่ากำลังจะมาแต่ช้ากว่าที่คิด

ทั้งนี้ ทุกคนมองว่าปีนี้เป็นปี Recession ของโลก ด้วยการขึ้นดอกเบี้ย เงินเฟ้อ สงคราม แต่ของไทย word bank ประเมินว่าโตเร็วกว่าปีที่แล้ว ซึ่งเป็นเพียงไม่กี่ประเทศ เรามี cycle ทางเศรษฐกิจต่างจากคนอื่น โดยเรื่องตลาดเงินตลาดทุนเป็น Story ที่ต่างจากเศรษฐกิจจริงเพราะเศรษฐกิจจริงตัวเลขคือปัจจุบัน แต่ตลาดเงินตลาดหุ้นเป็นการคาดการณ์ไปข้างหน้า

ส่วนสถานการณ์ของปีที่แล้วตลาดหุ้นไทยเป็น one of the best performer เพราะคนคาดการณ์ว่าปีนี้ไทยจะดี ซึ่งมันดี แต่ผลเกินขึ้นปีที่แล้วตลาดหุ้นไทยมีเงินทุนไหลเข้ากว่า 2 แสนล้าน แต่ปีนี้ ตัวเลขเริ่มกระเตื้องแต่เงินไหลออก เพราะถูกเรียลไลฟ์ไปแล้ว และเป็นการคาดการณ์เชิงเปรียบเทียบด้วย

สำหรับสถานการณ์ในตอนนี้เป็นจุดที่อาจมองบาง sector หรือหุ้นบางตัว เพราะหลายครั้งที่มี board sentiment หลายๆ ครั้งทำให้เกิดหุ้นบางตัวหรือ sector บางตัวที่มี potential ถูก discount ไปด้วยทั้งๆ ที่ไม่ควร

อย่างไรก็ตามไทยมีจุดแข็งหลายเรื่อง เช่น ความยั่งยืน ซึ่งมี 26 บริษัทไทยที่อยู่ในดัชนี DJSI และมี 12 บริษัทไทยเป็นผู้นำอุตสาหกรรมในกลุ่มดัชนีโลก (DJSI World) ซึ่งตัวเลขที่น่าสนใจคือกลุ่มนักลงทุนสถาบันทยอยลงทุน สำหรับในช่วงที่ดัชนีผ่าน 1,500 จุด ก็เริ่มเห็นรายย่อยเข้ามา ค่า PE ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ทยอยเก็บของและกระจายลงทุน

ดร.ศรพล กล่าวทิ้งท้ายว่า ภายในครึ่งปีหลังมีหลายปัจจัยคลี่คลาย ผลประกอบการ บจ. รายได้ฟื้นกว่าช่วงเกิดโควิด-19 แต่กำไรมีเรื่องน้ำมันกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามจะเริ่มคล่องตัวขึ้นจากการท่องเที่ยว และนโยบายที่ชัดเจนขึ้นในระยะยาวจะให้มี growth story เศรษฐกิจไทย และตลาดทุนไทยไม่จำเป็นต้องแข่งใน sector ที่ต่างประเทศนิยม เช่นเทคโนโลยี แต่ควรแข่งในจุดที่เป็นจุดแข็งของตนเอง เช่น ด้านบริการ อาหาร ท่องเที่ยว การศึกษา แนะให้ผู้ลงทุนควรมี สติ เพราะมีโอกาสในทุกวิกฤต

Back to top button