JMT ยันมาตรการ ธปท.ไม่กระทบ “พอร์ตหนี้” คาดปีนี้ “กระแสเงินสด” โตออลไทม์ไฮ!

ผู้บริหาร JMT ยันไร้ปัจจัยกระทบผลการดำเนินงานของ JMT ทั้งในส่วนของ “รายได้และกำไร” มั่นใจปีนี้บริหาร “พอร์ตหนี้” เติบโตทำกระแสเงินสดออลไทม์ไฮ ส่วนมาตรการ ธปท. แก้หนี้ครัวเรือนเป็นคนละส่วนกับหนี้ที่บริษัทซื้อมาบริหาร


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีราคาหุ้นของ บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT ปิดตลาดภาคเช้าวันนี้ (12 ก.ค. 66) อยู่ที่ระดับ 33.50 บาท ลบ 2 บาท หรือ 5.63% สูงสุดที่ระดับ 35 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 32.50 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 994.84 ล้านบาท

โดยการปรับตัวลงมาของราคา JMT อย่างต่อเนื่องถือว่าสวนทางผลการดำเนินงานของ JMT ที่ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่ล่าสุด นายสุทธิรักษ์ ตรัยชิรอาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JMT ยืนยันกับ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ว่า ผลประกอบการของ JMT ในไตรมาส 2/66 ยังเป็นไปตามเป้าหมายที่ได้มีการประกาศไว้ก่อนหน้านี้ หลังจาก JMT ได้ลงนามซื้อหนี้ด้อยคุณภาพประเภทหนี้ไม่มีหลักประกันจากสถาบันการเงิน ธนาคารพาณิชย์ รวมมูลค่าประมาณ 60,000 ล้านบาท ทำให้มั่นใจว่าปีนี้จะเป็นปีที่ดีอีกปีหนึ่งในการซื้อหนี้เข้ามาบริหารของบริษัท พร้อมกับการสนับสนุนภาพรวมกำไรเติบโตเข้าเป้ามากกว่า 30% จากปีก่อน นอกจากนี้ JMT อยู่ระหว่างการยื่นประมูลซื้อหนี้เพิ่มเติมอีก มุ่งเน้นหนี้ด้อยคุณภาพที่ไม่มีหลักประกัน (Unsecured Loan) ซึ่งอยู่ในความเชี่ยวชาญของบริษัทฯ

ส่วนกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท.เตรียมจะออกมาตรการแก้หนี้ โดยเฉพาะกลุ่มหนี้เรื้อรังนั้น นายสุทธิรักษ์ ย้ำว่า ไม่ส่งผลกระทบต่อ JMT เนื่องจากหนี้ที่ซื้อเข้ามาบริหารเป็น NPL ซึ่งมีสถานะแตกต่างกับหนึ้ของสถาบันการเงินที่เข้าเงื่อนไขตามมาตราการของ ธปท. จึงไม่ส่งผลกระทบต่อยอดกระแสเงินสด การจัดเก็บรายได้และกำไรของ JMT ในการบริหารจัดการหนี้ที่ซื้อเข้ามาขณะเดียวกันการจัดเก็บหนี้ของ JMT มีความยืดหยุ่นตามสถานการณ์เศรษฐกิจของลูกหนี้ในขณะนั้น ซึ่งถือเป็นหลักสำคัญในการบริหารจัดการหนี้ที่สามารถสร้างการเติบโตให้กับบริษัทมาอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม นายสุทธิรักษ์ ยังมั่นใจว่า ผลการดำเนินงานของ JMT ตลอดทั้งปีนี้ ยังเติบโตตามเป้าที่บริษัทได้วางแผนไว้ ทั้งการซื้อหนี้เข้ามาบริหารถือว่าเป็นไปตามเป้าที่วางไว้แล้ว รวมถึงกระแสเงินสดที่คาดว่าทั้งปีนี้จะทำนิวไฮได้เช่นกัน ซึ่งปัจจัยทุกอย่างยังอยู่ในสถานการณ์ที่ควบคุมได้

“การดำเนินการของบริษัทยังคงเป็นไปตามเป้าหมาย แนวโน้มไตรมาส 2/2566 มีทิศทางการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทเน้นไปที่การเจรจากับลูกค้า หาทางออกให้กับลูกค้าอย่างเหมาะสม การซื้อหนี้ในอดีตที่ผ่านมา JMT เข้าไปช่วยลูกค้าในการปรับโครงสร้างหนี้จำนวนมาก และสามารถกลับสู่อุตสาหกรรมการเงิน” นายสุทธิรักษ์ กล่าว

พร้อมประเมินทิศทางครึ่งปีหลัง 2566 จะเติบโตต่อเนื่อง สอดรับกับภาพรวมหนี้ด้อยคุณภาพในระบบส่งสัญญาณเพิ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2565 และคาดว่าจะพีคในปีนี้ และต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า จึงมองว่าสถาบันการเงินต่างๆ จะทยอยเปิดประมูลหนี้ด้อยคุณภาพออกมา ประกอบกับ สิ้นสุดมาตรการพักชำระ ส่งผลให้ภาพรวมหนี้ในระบบในปัจจุบันซึ่งอยู่ที่หลักแสนล้านบาท ยังมีโอกาสให้ JMT ซื้อหนี้เข้ามาบริหารเพิ่มเติม

โดยล่าสุด JMT ได้ประกาศปิดดีลซื้อหนี้ครั้งประวัติศาสตร์ รวมมูลค่าประมาณ 60,000 ล้านบาท ส่งผลให้ปัจจุบัน JMT มีพอร์ตบริหารหนี้รวมอยู่ที่ประมาณ 440,000 ล้านบาท นอกจากนี้ JMT อยู่ระหว่างการยื่นประมูลซื้อหนี้เพิ่มเติมอีกในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2566 มุ่งเน้นหนี้ด้อยคุณภาพที่ไม่มีหลักประกัน (Unsecured Loan) เนื่องจาก สถานการณ์ของตลาดหนี้ด้อยคุณภาพจะยังคงมี Supply ออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทพร้อมจะเป็นพาร์ทเนอร์กับสถาบันการเงินทุกราย

โดย JMT ตั้งเป้างบลงทุนซื้อหนี้ปีนี้อยู่ที่ประมาณ 10,000 – 15,000 ล้านบาท ทั้งหนี้ที่มีหลักประกันและไม่มีหลักประกัน และย้ำความมั่นใจเป้าหมายปีนี้ กำไรจะเติบโตในอัตราไม่ต่ำกว่า 30%

Back to top button