KBANK ชี้กรอบ “เงินบาท” สัปดาห์หน้า 34.75-35.35 บ. จับตาการเมือง-ทิศทางฟันด์โฟลว์

KBANK มองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทสัปดาห์หน้า (15-18 ส.ค.66) ที่ระดับ 34.75-35.35 บาท/ดอลลาร์ แนะติดตามปัจจัยทางการเมืองของไทย และทิศทางเงินทุนต่างชาติ


ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK มองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทสัปดาห์หน้า (15-18 ส.ค.) ที่ระดับ 34.75-35.35 บาท/ดอลลาร์ จากปิดตลาดในวันศุกร์ที่ 11 ส.ค.66 ที่ระดับ 35.07 บาท/ดอลลาร์ ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามในสัปดาห์หน้า ได้แก่ ปัจจัยทางการเมืองของไทย และทิศทางเงินทุนต่างชาติ

ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ตัวเลขคาดการณ์เงินเฟ้อของผู้บริโภค ยอดค้าปลีก ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้าน การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนก.ค. ผลสำรวจภาคการผลิตจากเฟดสาขานิวยอร์กและสาขาฟิลาเดลเฟียเดือนส.ค. บันทึกการประชุมเฟดเมื่อวันที่ 25-26 ก.ค.และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์

นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามตัวเลขจีดีพีไตรมาส 2/66 ของญี่ปุ่นและยูโรโซน รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจเดือนก.ค. ของจีน อาทิ การผลิตภาคอุตสาหกรรม ยอดค้าปลีก อัตราการว่างงาน และการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร

สำหรับในสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทอ่อนค่าผ่านแนว 35.00 ไปแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 1 เดือนที่ 35.19 บาท/ดอลลาร์ ในช่วงปลายสัปดาห์

โดยเงินบาทยังคงเคลื่อนไหวในกรอบอ่อนค่าตามทิศทางสกุลเงินอื่นๆ ในเอเชีย นำโดย เงินหยวนที่เผชิญแรงกดดันจากตัวเลขการส่งออกและนำเข้าของจีนที่หดตัวลงมากกว่าที่คาดในเดือนก.ค. และตอกย้ำแนวโน้มที่เปราะบางของเศรษฐกิจจีน ประกอบกับเงินบาทยังคงมีปัจจัยลบจากแรงขายสุทธิพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติในช่วงระหว่างรอความชัดเจนของประเด็นการเมืองในประเทศ

นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ฯ ยังมีแรงหนุนเพิ่มเติมบางส่วนจากสัญญาณของเจ้าหน้าที่เฟดที่ยังคงให้ความเห็นถึงความจำเป็นของการปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อไปเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ซึ่งล่าสุด แม้ดัชนีราคาผู้บริโภคของสหรัฐฯ เดือนก.ค. จะเพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่ตลาดคาด แต่ยังคงอยู่เหนือระดับเงินเฟ้อเป้าหมายของเฟด อย่างไรก็ดี กรอบการอ่อนค่าของเงินบาทเป็นไปอย่างจำกัดก่อนเข้าสู่ช่วงวันหยุดยาวของตลาดในประเทศ

สถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 7-11 ส.ค. 2566 นั้น นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 116 ล้านบาท และมีสถานะเป็น Net Outflows ออกจากตลาดพันธบัตรไทย 17,835 ล้านบาท (ขายสุทธิพันธบัตร 10,674 ล้านบาท และตราสารหนี้หมดอายุ 7,161 ล้านบาท)

Back to top button