เปิด 11 หุ้น mai วิ่งแรงเกิน 20% รอบ 8 เดือน XO นำทีมพุ่ง 144%

เปิด 11 หุ้น mai วิ่งแรงในรอบ 8 เดือนโกยรีเทิร์นเกิน 20% ชู XO นำทีมทะยานสูแรง 144% โบรกชี้ผลงานปีนี้โตแรง


ภาวะตลาดหุ้น mai ในช่วง  8 เดือนแรก 2566 (30 ธ.ค.65 -31ส.ค.66) ดัชนียังแกว่งตัวผันผวน โดยเห็นได้จากดัชนี ณ วันที่ 30 ธันวาคม 25665 อยู่ที่ระดับ 584.16 จุด มาอยู่ที่ระดับ 493.68  จุด  ณ 31 สิงหาคม 2566  ลดลง 90.48  จุด หรือลดลง 15.48%  เนื่องจากในช่วงดังกล่าวได้รับผลกระทบจากการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ และความกังวลเงินเฟ้อที่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตามในเดือนสิงหาคมที่ผ่านภายหลังการเมืองมีความชัดเจน ภายใต้แกนนำจาก “พรรคเพื่อไทย” ส่งผลให้นักลงทุนเข้าเก็งกำไรในหุ้นหลายตัวที่ได้ประโยชน์โดยเฉพาะหุ้นที่ได้อนิสงส์จากนโยบายรัฐบาลชุดใหม่ และส่งผลให้หุ้นในตลาดฯ mai ขานรับปัจจัยบวกดังกล่าว

ดังนั้นทีมข่าว ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์ จึงได้ทำการสำรวจกลุ่มหุ้น mai ในช่วงดังกล่าวมานำเสนอ โดยได้ทำการเรียบเรียงลำดับข้อมูลราคาหุ้นปรับขึ้นมากสุดไปหาน้อยสุดโดยเลือกนำเสนอข้อมูลประกอบใน 11 อันดับแรกของกลุ่ม ตามตารารางประกอบดังนี้

โดยอันดับ 1 บริษัท เอ็กโซติค ฟู้ด จำกัด (มหาชน) หรือ XO ราคาหุ้นปรับตัวจากระดับ 4.08 บาท ณ วันที่ 30 ธ.ค.65 มาอยู่ที่ระดับ 13.00 บาท ณ วันที่ 31 ส.ค.66 คิดเป็นการปรับตัวขึ้น 144.23% โดยราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงจากแผนธุรกิจโดดเด่นในปี 2566 และนักวิเคราะห์ปรับเป้ากำไรปีนี้โตแรง

บริษัท หลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ระบุ คาดผลประกอบการไตรมาส 3/66 ทรงตัวในระดับสูงใกล้เคียงไตรมาส 2/66 จากคำสั่งซื้อทวีปอเมริกาหนุน โดยฝ่ายวิจัยคาดว่ารายได้ไตรมาส 3/66 จะอยู่ที่ระดับ 610-630 ล้านบาท ใกล้เคียงไตรมาส 2/66 แต่เติบโตอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน เนื่องจาก Distributor รายใหม่ในสหรัฐแคนาดา และเม็กซิโกมีการส่งคาสั่งซื้อเข้ามาต่อเนื่อง

ขณะที่คำสั่งซื้อจากยุโรปฟื้นตัวดีกว่าที่คาดไว้แม้ว่าจะมีการเปิดประเทศและประชาชนเริ่มเดินทางท่องเที่ยวก็ตาม ด้าน %GPM คาดจะทรงตัวในระดับสูง 48-49% เนื่องจากอัตราการใช้กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นทำให้มี Economies of Scales อีกทั้งบริษัทได้ล็อกต้นทุนพริกกระเทียม และน้ำตาลไปถึงกลางปี 67 แล้ว ทั้งนี้ผู้บริหารได้ปรับเพิ่มเป้ายอดขายปี 66 จาก 1.75 พันล้านบาท สู่ 2.0-2.1 พันล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากการเติบโต 20% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อนสู่ 40-45% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน จากแรงหนุนของคาสั่งซื้อจากทวีปอเมริกาหลังได้ Distributor รายใหม่

ขณะเดียวกันฝ่ายวิจัยปรับเพิ่มประมาณการรายได้ปี 66 จาก 1.75 พันล้านบาท สู่ 2.10 พันล้านบาท เติบโต 45% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมีการออกงานแสดงสินค้า 15-22 งานต่อปีเพื่อหาลูกค้าใหม่ และคาดว่าคาสั่งซื้อจาก Distributor ในสหรัฐ แคนาดา และเม็กซิโกจะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ พร้อมปรับเพิ่มสมมติฐานอัตรากาไรขั้นต้นจาก 45% สู่ 47% (GPM ครึ่งแรกปี 66 อยู่ที่ 46.7% และ GPM ไตรมาส 2/66 อยู่ที่ 48.2%) เนื่องจากการปรับเพิ่มราคาไม่ได้ทำให้คำสั่งซื้อชะลอลงแต่กลับเร่งตัวขึ้นเนื่องจากมีความต้องการบริโภคจากทวีปยุโรปและอเมริกา

นอกจากนี้บริษัทได้ล็อกราคาต้นทุนพริก กระเทียม และน้ำตาลไปจนถึงกลางปี 67 แล้ว โดยราคาน้ำตาลที่ปรับตัวขึ้นส่งผลกระทบต่อบริษัทจากัดเนื่องจากคิดเป็นสัดส่วนต้นทุนเพียง 8% ของต้นทุนการผลิต ทั้งนี้ บริษัทใช้น้ำเชื่อมในการผลิตซึ่งราคาปรับตัวขึ้นน้อยกว่าราคาน้ำตาล ส่งผลให้ปรับเพิ่มประมาณการกาไรปี 66 จาก 496 ล้านบาท สู่ 660 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33% จากประมาณการเดิมและเติบโต 94% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน โดยคาดว่าครึ่งหลังปี 66 รายได้และกำไรจะเติบโตเมื่อเทียบกับครึ่งแรกปี 66

อันดับ 2 บริษัท ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ TITLE ราคาหุ้นปรับตัวจากระดับ1.62 บาท ณ วันที่ 30 ธ.ค.65 มาอยู่ที่ระดับ 3.22 บาท ณ วันที่ 31 ส.ค.66 คิดเป็นการปรับตัวขึ้น 98.77% โดยราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงจากแผนธุรกิจโดดเด่นในปี 2566  อีกทั้งนักลงทุนมั่นใจธุรกิจหลัง บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASW เข้าลงทุนโดยคาดกระบวนการทำเทนเดอร์ฯ TITLE จะเสร็จภายใน ก.ย.นี้

อีกทั้งดันปั้นเป็นเรือธงรุกตลาดอสังหาฯ ในโซนภาคใต้ทั้งหมด (ตั้งแต่จังหวัดระนองลงมา) นอกจากนี้ บริษัทยังมองเห็นโอกาสในการขยายเข้าสู่ธุรกิจใหม่ร่วมกัน คือธุรกิจฮอสพิทอลลิตี้ เช่น ธุรกิจโรงแรม เพื่อสร้างรายได้ระยะยาว เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันได้มีการศึกษาที่ดินทั้งหมดของ TITLE พบว่ามี 4 แปลง ที่สามารถลงทุนพัฒนาเป็นโรงแรมได้ โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนมากขึ้นตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป

ด้านเป้าหมายผลการดำเนินงานของ TITLE คาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 3 ปีจากนี้ (ปี 2567-2569) จะมีรายได้สะสมที่ประมาณ 10,000 ล้านบาท ซึ่งในปี 2566 TITLE จะมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 450 ล้านบาท โดยจะมีมูลค่าการเปิดตัวโครงการใหม่รวมประมาณ 5,000 ล้านบาท และจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในทุก ๆ ปี จนในปี 2569 TITLE จะมีมูลค่าการเปิดตัวโครงการใหม่รวมที่ระดับ 7,700 ล้านบาท และจะมีรายได้ที่ระดับ 5,000 ล้านบาท

อันดับ 3 บริษัท วอริกซ์ สปอร์ต จำกัด (มหาชน) หรือ WARRIX ราคาหุ้นปรับตัวจากระดับ 7.20 บาท ณ วันที่ 30 ธ.ค.65 มาอยู่ที่ระดับ 9.45 บาท ณ วันที่ 31 ส.ค.66 คิดเป็นการปรับตัวขึ้น31.25% โดยราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงจากแผนธุรกิจที่โดดเด่น และผลประกอบการในครึ่งปีแรก 2566 มีกำไร 32.03 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 24.84 ล้านบาท

บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ซื้อ” หุ้น WARRIX กำหนดราคาเป้าหมาย 11.23 บาทต่อหุ้น โดยเชื่อว่ารายได้และกำไรในช่วงครึ่งปีหลังจะเร่งตัวขึ้น เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่นสำหรับทั้งสินค้าที่ไม่มีลิขสิทธิ์และมีลิขสิทธิ์ โดยสินค้าที่มีลิขสิทธิ์น่าจะได้แรงหนุนจากอีเวนต์การแข่งขันกีฬาที่สำคัญ เช่น คิงส์คัพ ในเดือนกันยายน และฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกในเดือน พฤศจิกายน รวมถึงหุ้นส่วนลิขสิทธิ์ใหม่จากต่างประเทศ

ขณะที่สินค้าที่ไม่มีลิขสิทธิ์น่าจะได้รับการสนับสนุนจากการปิดงบประมาณประจำปีของภาครัฐและเอกชน รวมถึงแคมเปญออนไลน์ส่งเสริมการขาย การฟื้นตัวของการบริโภคภายในประเทศ หลังการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ และโอกาสใหม่ในการเจาะตลาดเครื่องแต่งกายแฟชั่น เพราะบริษัทมีแผนเปิดตัวสินค้าไลฟ์สไตล์ใหม่อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะผลักดันให้กำไรในปี 2566 ให้เติบโตที่ระดับ 149 ล้านบาท

อันดับ 4 บริษัท ดีเฮ้าส์พัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ DHOUSE ราคาหุ้นปรับตัวจากระดับ 0.64 บาท ณ วันที่ 30 ธ.ค.65 มาอยู่ที่ระดับ 0.88 บาท ณ วันที่ 31 ส.ค.66 คิดเป็นการปรับตัวขึ้น 37.50% คาดเก็งกำไรหุ้นเล็กหลังภาวะตลาดเริ่มฟื้นตัว อย่างไรก็ตามต้องระวังแรงซื้อเก็งกำไรในช่วงที่ราคาปรับตัวแรง เนื่องจากบริษัทยังมีผลขาดทุนต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2562-ปัจจุบัน

อันดับ 5 บริษัท พีรพัฒน์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ PRAPAT ราคาหุ้นปรับตัวจากระดับ 1.65 บาท ณ วันที่ 30 ธ.ค.65 มาอยู่ที่ระดับ 2.14 บาท ณ วันที่ 31 ส.ค.66 คิดเป็นการปรับตัวขึ้น 29.70% โดยราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงจากแผนธุรกิจโดดเด่นในปี 2566

โดย PRAPAT เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2566 (สิ้นสุด 30  มิถุนายน 2566) ว่าเป็นไตรมาสที่โดดเด่นของบริษัทและบริษัทย่อย โดยมีกำไรสุทธิ 11.18 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 244% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อนที่มีกำไร 3.25 ล้านบาท ขณะที่งวดครึ่งปีแรกของปี 2566 มีกำไรสุทธิมากถึง 25.52 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 641.86% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันปีก่อน ที่มีกำไร 3.44 ล้านบาท และสูงกว่าทั้งปี 2565 ที่มีกำไร 24.24 ล้านบาท

ด้านนายวีระพงค์ ลือสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PRAPAT กล่าวถึงแนวโน้มธุรกิจครึ่งปีหลัง 2566 ว่า จะยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก โดยบริษัทตั้งเป้าทั้งปีจะมีรายได้เติบโตจากปีก่อน 10-15 % พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจตามเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่มปริมาณการขายและให้บริการอุปกรณ์เครื่องจักร ร่วมกับการจำหน่ายและให้บริการกลุ่มสินค้าเคมีภัณฑ์ รวมถึงให้บริการผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีและนวัตกรรมล้ำสมัยมากขึ้น เช่น เครื่องล้างจานพร้อมหน้าจอแสดงผลแบบดิจิตอลและหุ่นยนต์ทำความสะอาดสระว่ายน้ำ เป็นต้น

พร้อมกันนี้ ได้ขยายธุรกิจไปสู่ผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพ (Wellness & healthcare) เพื่อสร้างการเติบโตใหม่ให้กับบริษัท เนื่องด้วยธุรกิจด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ หรือ Wellness Tourism มีแนวโน้มการเติบโตสูง เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง นับเป็น Blue Ocean ของบริษัทในการรุกเข้าไปในตลาดนี้ โดยจะเน้นการทำธุรกิจที่แสวงหาความแตกต่าง นำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ สู่ตลาดโรงพยาบาล กลุ่มคลินิกและศูนย์สุขภาพ ด้วยผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรเพื่อสิ่งแวดล้อม (Green Technology) เช่น  InnuScience ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเทคโนโลยีชีวภาพคุณภาพสูงมาตรฐานระดับโลกจากประเทศแคนาดา ที่ PRAPAT เป็นตัวแทนนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย กัมพูชา สปป.ลาว เวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์   รวมถึงนวัตกรรมในการบำบัดน้ำเสีย MBR (Membrane Bio Reactor)

ขณะเดียวกัน ได้ดำเนินการจดทะเบียนเพื่อจัดตั้งบริษัทย่อยในประเทศเวียดนาม ภายใต้ชื่อ “บริษัท Phu Quoc Hotel Supplies จำกัด” ด้วยทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท หรือประมาณ 3 แสนดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเปิดสำนักงาน โชว์รูมและคลังสินค้า ขยายฐานตลาดเครื่องจักร-ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อให้กับตลาดอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับงานบริการ (Hospitality) ที่เกาะฟูโกว๊ก ซึ่งเป็นศูนย์กลางสำคัญทางเศรษฐกิจของเวียดนามตอนใต้ นอกเหนือจากการทำกิจการร่วมค้า (Joint Venture) กับตัวแทนจัดจำหน่ายที่มีอยู่เดิม ณ นครโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม คาดว่าจะเปิดดำเนินการภายในปีนี้

บริษัท เชื่อมั่นว่าภาพรวมการดำเนินธุรกิจในปี 2566 จะสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องทุกไตรมาส โดยเฉพาะไตรมาส 4 ถือเป็นไฮซีซั่นของธุรกิจ จึงเตรียมเร่งผลิตสินค้าจาก 400-500 ตัน ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 600-700 ตัน เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการสินค้าที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มลูกค้า นับเป็นการสร้างการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ” นายวีระพงค์ กล่าว

Back to top button