PTTEP-SPRC เด่น! รับรัสเซียระงับส่งออก “ดีเซล-เบนซิน” หนุนราคาน้ำมันพุ่ง

โบรกประเมินรัสเซียสั่งระงับการส่งออกน้ำมันดีเซล และน้ำมันเบนซินชั่วคราว มองบวกต่อหุ้น PTTEP และ SPRC เชื่อว่าจะได้ประโยชน์จากแนวโน้มส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันและราคาน้ำมันดิบ (crack spread) ที่ยืนสูงได้ต่อเนื่อง


บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์เกี่ยวกับ รัสเซียสั่งระงับการส่งออกน้ำมันดีเซล และน้ำมันเบนซินชั่วคราวตั้งแต่วันที่ 21 กันยายน 2566 ยกเว้นน้ำมันดีเซลคุณภาพต่ำ น้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเรือเดินทะเล ไปยังประเทศอื่น ๆ โดยยกเว้น 4 ประเทศที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต ได้แก่ เบราลุส, คาซัคสถาน, อาร์เมเนีย และคีร์กีซสถาน โดยมีผลทันทีเพื่อรักษาเสถียรภาพตลาดน้ำมันในประเทศ

สำหรับโรงกลั่นจะได้อานิสงส์จาก crack spread น้ำมันดีเซลที่สูงในไตรมาส 4/2566 ซึ่งในปัจจุบัน รัสเซียส่งออกน้ำมันดีเซล 0.7-0.8 ล้าน bbl ต่อวัน คิดเป็น 3% ของอุปสงค์น้ำมันดีเซลทั้งโลก โดยคาดว่าจีนจะเพิ่มการส่งออกน้ำมันดีเซลจนถึงขีดสุด

อย่างไรก็ตาม อุปทานน้ำมันดีเซลทั้งโลกน่าจะตึงตัวมากขึ้น เพราะคาดว่าจีนจะส่งออกน้ำมันดีเซลเพียง 0.24-0.25 ล้าน bbl ต่อวันเท่านั้น เป็นระดับการส่งออกน้ำมันดีเซลที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2565 ซึ่งยังไม่มากพอที่จะชดเชยอุปทานที่ขาดแคลนได้ เชื่อว่ารัสเซียจะระงับการส่งออกน้ำมันเพียง 36 สัปดาห์เท่านั้น แต่ถึงกระนั้นก็น่าจะยังฉุดให้สต็อกน้ำมันดีเซลโลกลดลงมาอยู่ในระดับที่ต่ำมาก ซึ่งจะทำให้อุปทานตึงตัวยิ่งขึ้นไปอีก

ส่วน สถานีบริการน้ำมันยังมีความเสี่ยงด้าน downside ในปี 2567 ในปัจจุบัน กองทุนน้ำมันอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลอยู่ 7.03 บาท/ลิตร โดยมีสถานะขาดดุลอยู่ 6.4 หมื่นล้านบาท (ณ วันที่ 24 กันยายน 2566) ซึ่งหากใช้สมมติฐานเงินอดหนุนที่ 7 บาทต่อลิตร และปริมาณการใช้น้ำมันดีเซล 70 ล้านลิตร/วัน กองทุนน้ำมันจะขาดดุลเพิ่มเป็น 1.12 แสนล้านบาทภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งเกินเพดานการขาดดุลของกองทุนน้ำมัน 1.10 แสนล้านบาท

ทั้งนี้ หากใช้สมมติฐานว่าราคาน้ำมันดีเซลยืนอยู่ที่ระดับนี้ และรัฐมนตรีพลังงานต้องการจะคงราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลเอาไว้ต่ำกว่า 30 บาท/ลิตร ก็มีทางเลือกที่อาจดำเนินการได้เพียงสองทาง ได้แก่ 1) อัดฉีดสภาพคล่องเข้ามาให้กองทุนน้ำมันเพิ่มขึ้น หรือขอให้สถานีบริการน้ำมันลดค่าการตลาดน้ำมันดีเซลลง ซึ่งหากรัฐบาลเข้ามาแทรกแซงค่าการตลาดน้ำมันดีเซล PTG จะได้รับผลกระทบหนักที่สุด เพราะยอดขายกว่า 90% มาจากยอดขายปลีกน้ำมัน

โดยมีน้ำมันดีเซลเป็นตัวหลักประมาณ 75% คาดว่าการลดค่าการตลาดน้ำมันดีเซลลงทุกๆ 0.10 บาท/ลิตร จะกระทบกับกำไรปี 2567 ตาม Bloomberg consensus ของ PTG อยู่ที่ 26.0%, BCP อยู่ที่ 4.5% และ OR อยู่ที่ 3.5%

อย่างไรก็ตาม ทางฝ่ายวิจัยชอบหุ้นน้ำมันต้นน้ำ และโรงกลั่น แต่แนะนำให้หลีกเสี่ยงสถานีบริการน้ำมัน โดยชอบธุรกิจน้ำมันต้นน้ำ คือ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP ให้ราคาเป้าหมาย 196 บาท และโรงกลั่น ได้แก่ บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPRC ราคาเป้าหมาย 10.80 บาท ซึ่งจะได้อานิสงส์จากราคาน้ำมันดิบดูไบที่สูง และ GRM ที่สูง

Back to top button