WHART ทุ่ม 3.5 พันล. ขยายลงทุน “คลังสินค้า-โรงงาน” ขึ้นแท่น “กองทรัสต์อุตฯ” เบอร์หนึ่งไทย

WHART เล็งขยายอาณาจักรกองทรัสต์ด้านโลจิสติกส์ ลงทุนคลังสินค้า-โรงงาน 3 โครงการ มูลค่า 3,566 ล้านบาท มั่นใจทรัพย์สินที่ลงทุนสร้างโอกาส – ผลตอบแทนในระยะยาว ดันธุรกิจสู่การเป็นกองทรัสต์ใหญ่ที่สุดในประเทศ


นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA เปิดเผยว่า ในฐานะเจ้าของทรัพย์สิน (Sponsor) และผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์รวมถึงสิทธิการเช่า ดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม โกรท หรือ WHART ซึ่งเป็นกองทรัสต์ที่เน้นลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ประเภทคลังสินค้า ศูนย์กระจายสินค้า และโรงงาน

โดยปัจจุบันทรัพย์สินที่กองทรัสต์ WHART เข้าลงทุนทั้งหมดจะมี WHA ซึ่งเป็นผู้พัฒนาและบริหารอีกทั้งที่ผ่านมากองทรัสต์มีการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่องรวมถึงมีทรัพย์สินภายใต้บริหารจัดการกว่า 1.74 ล้านตารางเมตร สอดคล้องกับนโยบายของ WHA ที่ยังคงเป็นผู้สนับสนุนหลักในการนำทรัพย์สินคุณภาพระดับพรีเมี่ยมเข้ากองทรัสต์ทุกปีต่อเนื่อง

ทั้งนี้ WHA ถือเป็นผู้นำในด้านการพัฒนาคลังสินค้าและโรงงาน ประเภท Built-to -Suit ซึ่งเป็นอาคารที่มีการออกแบบและพัฒนาตามความต้องการของลูกค้าและ General Warehouse ที่มีมาตรฐานระดับพรีเมี่ยม รวมทั้งยังมีการให้บริการโซลูชั่นครบวงจร ทั้งระบบสาธารณูปโภคแพลตฟอร์มโครงสร้างด้านพลังงานและระบบดิจิตอล โดยทุกโครงการของ WHA ล้วนตั้งอยู่ในพื้นที่โลจิสติกส์ที่มีศักยภาพ

รวมไปถึงเป็นพื้นที่ที่มีความต้องการเช่าสูง และเป็นจุดยุทธศาสตร์ของอุตสาหกรรมด้านโลจิสติกส์หลักของประเทศ อาทิ บริเวณถนนบางนา-ตราด, บริเวณพื้นที่ที่สอดรับกับโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งเป็นทำเลที่สามารถเชื่อมต่อทั้งตัวเมืองกรุงเทพฯ, สนามบินสุวรรณภูมิ, ท่าเรือแหลมฉบัง, และถนนสายหลักทางด้านการขนส่งและการกระจายสินค้ามีประสิทธิภาพ, ทำเลกรุงเทพตอนเหนือ (วังน้อย-สระบุรี) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่สำคัญในการกระจายสินค้าไปยังภาคเหนือและภาพตะวันออกเฉียงเหนือ, รวมถึงทำเลจังหวัดสมุทรสาครที่เป็นพื้นที่หลักสำหรับกระจายสินค้าในโซนกรุงเทพฝั่งตะวันตก

นอกจากนี้ ในฐานะผู้นำด้านนิคมอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ของประเทศ บริษัทมองว่าภาพรวมอุตสาหกรรมโลจิสติกส์มีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากกระแสการย้ายฐานการลงทุนและฐานการผลิตมายังประเทศไทย ส่งผลให้ความต้องการใช้ที่ดินอุตสาหกรรมของนักลงทุนชาวต่างชาติเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สอดคล้องนโยบายภาครัฐบาลที่ผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของการลงทุนจากทั่วโลก

โดยกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์จะเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมแรกๆ ที่เพิ่มมูลค่าการลงทุนให้กับประเทศ ยิ่งไปกว่านั้นประเทศไทยมีศักยภาพและความพร้อมที่จะก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมยุคใหม่ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก นอกเหนือจากการเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ครบวงจรชั้นนำ

รวมถึงปัจจุบัน WHA มีนิคมอุตสาหกรรมที่อยู่ระหว่างดำเนินการในประเทศไทย จำนวน 12 แห่ง และยังคงเดินหน้าขยายการลงทุนให้ครอบคลุมทำเลยุทธศาสตร์สำคัญในประเทศ พร้อมแสวงหาโอกาสใหม่ๆ มุ่งเน้นไปที่อุตสาหกรรมที่มีการเติบโตสูง อาทิ ยานยนต์ไฟฟ้า อีคอมเมอร์ซ และอุตสาหกรรมในกลุ่ม New S-curve เพื่อตอกย้ำการเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมยานยนต์แบบครบวงจร โดยมีโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภคที่ได้มาตรฐานระดับโลก

ขณะที่ นายอนุวัฒน์ จารุกรสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ในฐานะผู้จัดการกองทรัสต์ของทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ กล่าวว่า ปัจจุบันกองทรัสต์เป็นประเภทอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศมีมูลค่าทรัพย์สินกว่า 51,000 ล้านบาท และมีโครงการภายใต้กว่าบริหารจัดการ 39 โครงการ หรือพื้นที่ประมาณ 1.74 ล้านตารางเมตร ในปี 2566

ทั้งนี้กองทรัสต์ประกาศเดินหน้าตอกย้ำสู่การขยายอาณาจักรการเป็นผู้นำประเภทอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยภายหลังจาการเพิ่มทุนในปี 2566 จำนวนไม่เกิน 195.90 ล้านหน่วย เพื่อลงทุนในทรัพย์สินเพิ่มเติมในปี 2566 มูลค่าไม่เกิน 3,566.49 ล้านบาท ภายหลังการลงทุนเพิ่มเติมในทรัพย์สินครั้งนี้ จะส่งผลให้กองทรัสต์ มีมูลค่าทรัพย์สินรวมแตะ 55,000 ล้านบาท ถือเป็นประเภทอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าทรัพย์สินรวมมากที่สุดในประเทศ

โดยมีพื้นที่เช่าภายใต้การบริหารเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 1.89 ล้านตารางเมตร  พื้นที่เช่าหลังคา 487,243.29 ตารางเมตร ซึ่งเป็นอาคารคลังสินค้า ศูนย์กระจายสินค้า และอาคารโรงงานที่พัฒนาขึ้นตามความต้องการของลูกค้า (Built-to-Suit) และแบบสำเร็จรูป (General Warehouse)  สำหรับทรัพย์สินที่กองทรัสต์ WHART จะเข้าลงทุนในครั้งนี้ จำนวน 3 โครงการ ประกอบด้วย

1.โครงการดับบลิวเอชเอ เมกกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ เทพารักษ์ กม. 21 เป็นคลังสินค้ารูปแบบ Built-to-Suit และ General Warehouse พื้นที่เช่า 90,862 ตร.ม.

2.โครงการดับบลิวเอชเอ เมกกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ แหลมฉบัง โปรเจค 1 เป็นคลังสินค้า รูปแบบ General Warehouse พื้นที่เช่า 24,310 ตร.ม

3.โครงการดับบลิวเอชเอ เมกกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ บางนา-ตราด กม.23 โปรเจค 3 เป็นคลังสินค้า และโรงงานแบบ General Warehouse พื้นที่เช่า 27,724 ตร.ม.

อีกทั้งความโดดเด่นของการเพิ่มทุนในครั้งนี้ คือ ตัวของทรัพย์สินเองซึ่งทั้ง 3 โครงการที่เข้าลงทุนถือเป็นโครงการที่มีคุณภาพและตั้งอยู่ในทำเลโลจิกติกส์ที่สำคัญอย่าง บางนา-ตราด รวมถึงพื้นที่ EEC ซึ่งยังมีกลุ่มผู้เช่าที่มาจากกลุ่มธุรกิจที่มีความมั่นคงอย่างกลุ่มผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ (Third Party Logistics) และกลุ่มผู้ผลิต (Manufacturer)

ในขณะที่การได้ผู้เช่าที่ดีในกลุ่มอุตสาหกรรมส่งผลให้กองทรัสต์มีการรับรู้รายได้จากการลงทุนที่มั่นคง และสร้างประโยชน์ตอบแทนที่ดีแก่ผู้ถือหน่วยทรัสต์ ทั้งนี้ การที่ขยายขนาดการลงทุนเพิ่มเติมในทุกปี ส่งผลให้มีความมั่นคงทางรายได้ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงยังกระจายความเสี่ยงไม่ว่าจะเป็นด้านทำเลทรัพย์สินที่ลงทุน สัญชาติของผู้เช่า และความหลากหลายของกลุ่มธุรกิจของผู้เช่า (Business Sector) ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ช่วยทำให้ภาพรวมผลประกอบการของกองทรัสต์อยู่ในระดับที่ดีมาอย่างต่อเนื่อง

โดย WHART แจ้งผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3/2566 รายได้รวมเท่ากับ 840.72 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39.29 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 4.90 จากงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการรับรู้รายได้จากการลงทุนในทรัพย์สินเพิ่มเติมในปี 2565 เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2565 และมีกำไรจากการลงทุนสุทธิ เท่ากับ 644.52 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.20 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.42 จากงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งสะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่ นายสาวิตร ศรีศรันยพงศ์ ผู้บริหารกลุ่มธุรกิจวาณิชธนกิจธนาคารกสิกรไทย ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายหน่วย WHART กล่าวว่า สถานการณ์การลงทุนปัจจุบันถือว่าเป็นจังหวะและโอกาสในการลงทุนในกองทรัสต์ (REIT) เนื่องจากปัจจุบันมีการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จะหยุดการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อการลงทุนในกอง REIT

ขณะที่ทางธนาคารมีความเห็นว่าสินทรัพย์ประเภทกอง REIT เป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่แนะนำลงทุนด้วยคุณสมบัติที่มีโอกาสรับผลตอบแทนจากเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะการเลือกลงทุนในกองทรัสต์ซึ่งเป็นการลงทุนในทรัพย์สินที่มีความมั่นคงจากรายได้ค่าเช่าและมีความต่อเนื่องของการเติบโตทรัพย์สินในระยะยาว

โดย นางสาวจิตติสา เจริญพานิช ผู้บริหารงานวาณิชธนกิจ ธนาคารกสิกรไทย ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายทรัสต์ กล่าวว่า กองทรัสต์มีมูลค่าตามราคาตลาดสูงที่สุดในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งมีมูลค่ากว่า 30,000 ล้านบาท และยังเป็นผู้นำกลุ่มคลังสินค้าและอุตสาหกรรม

โดยมีศักยภาพในการเติบโตด้วยทรัพย์สินที่แข็งแกร่งสามารถจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนแก่ผู้ถือหน่วยทรัสต์อย่างสม่ำเสมอตั้งแต่ก่อตั้งกองทรัสต์ อีกทั้งมีเครดิตเรตติ้งที่ดี และที่สำคัญคือมี WHA เป็นเจ้าของทรัพย์สินรวมถึงผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์ซึ่งการันตีถึงคุณภาพของทรัพย์สินได้เป็นอย่างดี

ทั้งนี้ภายหลังจากการเข้าลงทุนในทรัพย์สินหลักเพิ่มเติม WHART ได้ประมาณการจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนต่อหน่วยแก่ผู้ถือหน่วยทรัสต์เท่ากับ 0.79 บาทต่อหน่วย สำหรับรอบประมาณการตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2567 หรือคิดเป็นอัตราการจ่ายประโยชน์ตอบแทนประมาณร้อยละ 8.23* (ขึ้นอยู่กับราคาเสนอขายสุดท้าย)

โดยการเพิ่มทุนของ WHART ผู้ถือหน่วยทรัสต์เดิมมีสิทธิสามารถจองซื้อได้ในวันที่ 1 , 4 และระหว่างวันที่ 6 ถึง 8 ธ.ค. 2566 ที่ราคาสูงสุดที่ 9.60 บาทต่อหน่วย หากราคาเสนอขายสุดท้ายต่ำกว่าราคาสูงสุดจะทำการคืนเงินส่วนต่างราคาให้กับผู้จองซื้อ โดยนักลงทุนที่สนใจสามารถจองซื้อได้ผ่านเว็บไซต์ K-My Invest (www.kasikornbank.com/kmyinvest) และสาขาของ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)

นอกจากนี้ ประชาชนทั่วไปสามารถจองซื้อในวันที่ 13 ถึง 15 และวันที่ 18 ธ.ค. 2566 ซึ่งจะทำการชำระเงินจองซื้อที่ราคาสุดท้ายโดยนักลงทุนที่สนใจสามารถจองซื้อได้ผ่าน ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน), ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), และธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน)

ทั้งนี้ อ้างอิงประมาณการผลตอบแทนของกองทรัสต์ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2567 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2567 ตามที่ได้ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวน บนสมมติฐานราคาเสนอขายสูงสุดไม่เกิน 9.60 บาทต่อหน่วย

Back to top button