โบรกแนะสอย 3 หุ้นโรงไฟฟ้า SPP รับอานิสงส์ขึ้นค่าเอฟที

เปิดโผ 3 หุ้นเด่น CKP-EGCO-RATCH เป็นหุ้นเด่น โบรกมองบวกผู้ประกอบการกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP รับอานิสงส์ขึ้นค่าเอฟที มกราคม-เมษายน 67 เป็น 89 สตางค์ แต่ยังคงมีความเสี่ยงในการแทรกแซงในครั้งนี้


บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (30 พ.ย.66) ว่าประเมินเกี่ยวกับหุ้นโรงไฟฟ้าคาดว่าจะได้รับอานิสงส์จากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ปรับขึ้นค่าเอฟทีเป็น 0.89 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง สำหรับมกราคม-เมษายน 2567 โดย กกพ. เห็นชอบขึ้นค่าเอฟทีจาก 0.2 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมงเป็น 0.89 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง สำหรับเดือน มกราคม – เมษายน 2567 (ทางเลือกที่ 3 ในการรับฟังความคิดเห็น) ซึ่งจะทำให้อัตราค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจาก 3.99 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมงเป็น 4.68 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง

สำหรับข่าวนี้ส่งผลดีต่อผู้ประกอบการผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก  SPP (บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC, บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM, บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ WHAUP อย่างไรก็ตามรัฐบาลอาจแทรกแซงได้ ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา กกพ. ได้อนุมัติอัตราค่าไฟฟ้าที่ 0.66 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง มีค่าเอฟที (4.45 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง) สำหรับเดือนกันยายน-ธันวาคม 2566 โดยคณะรัฐมนตรีมีมติให้ปรับอัตราค่าไฟฟ้าจาก 4.45 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมงเป็น 4.1 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง แต่ในที่สุดก็อนุมัติที่ 3.99 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง และลดเอฟทีจาก 0.66 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมงเป็น 0.2 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง ในเดือนกันยายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน รัฐบาลต้องการให้เก็บค่าไฟฟ้าไว้ที่ 4 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง แต่หากต้นทุนพลังงานเพิ่มขึ้นก็อาจทำให้ค่าเอฟทีเพิ่มขึ้นแต่ไม่สูงกว่าที่ กกพ.ประกาศ

ทั้งนี้เงินอุดหนุนของ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) อยู่ที่ 96,000 ล้านบาท ณ เดือนสิงหาคม 2566 จากงบการเงินไตรมาส 2/2566 ของ กฟผ. โดยมี D/E อยู่ที่ 1.4 เท่า ในขณะที่กฟผ. มีนโยบายควบคุมสัดส่วน D/E ไม่เกิน 1.5 เท่า ซึ่ง กฟผ. มีความสามารถในการรับภาระเพิ่มเติมอีก 54,000 ล้านบาท จากข้อมูลจากกกพ. เงินอุดหนุนของ กฟผ. มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจาก 9.6 หมื่นล้านบาทเป็น 1.27 แสนล้านบาทภายในสิ้นปี 2566 หากเอฟทีอยู่ที่ 0.2 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมงในงวด มกราคม-เมษายน 2566 เงินอุดหนุนจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.75 แสนล้านบาท และ D/E ratio จะเป็น 1.54 เท่า เพื่อรักษาค่าเอฟทีให้ต่ำ โดยคาดว่าอาจต้องใช้มาตรการอื่น เช่น การปรับโครงสร้างราคาก๊าซ

ดังนั้น หากรัฐบาลไม่แทรกแซงในครั้งนี้ ค่าเอฟทีที่สูงขึ้นจะทำให้กำไรหลักของบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM เพิ่มขึ้น 67% ในปี 2567 อย่างไรก็ตาม เนื่องจากความไม่แน่นอนของเอฟที โดยเราชอบผู้เล่นที่มีความเสี่ยงต่อ SPP ต่ำ

ทั้งนี้ ทางฝ่ายวิจัยยังคงเลือก CKP, EGCO และ RATCH เป็นหุ้นเด่น โดย CKP คาดการณ์ว่าจะทำให้กำไรฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง เนื่องจากปรากฏการณ์เอลนีโญอยู่ที่ส่วนท้ายสุดและผลกระทบจากค่าเอฟทีจำกัด

นอกจากนี้ยังมี EGCO และ RATCH เป็นผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ (IPP) ที่ให้ผลตอบแทนเงินปันผลที่น่าสนใจโดยพิจารณาจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ และไทยอายุ 10 ปีที่ลดลง

Back to top button