โบรกเชียร์ซื้อ SCB เป้า 114 บ. ชี้กำไรปี 66 แตะ 4.2 หมื่นล้าน-ยีลด์สูง 7%

บล. ฟิลลิป คาดการณ์ SCB ผลงานไตรมาส 4/66 กำไรสุทธิ 9.1 พันล้านบาท ดันกำไรทั้งปี 66 แตะ 4.2 หมื่นล้านบาท รับอานิสงส์จากรายได้ดอกเบี้ยพุ่ง หลังปรับโครงสร้างธุรกิจหนุนความคล่องตัว พร้อมเป็นหุ้นปันผลโดดเด่น  (Dividend Yield) สูงกว่า 7% แนะนำ “ซื้อ” ราคาพื้นฐาน 114 บาท


บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (3 ม.ค. 2567) ประเมินแนวโน้มการเติบโตของบริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB ว่าในเดือนพฤศจิกายนมีสินเชื่อหดตัว 0.2% เมื่อเทียบจากเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นการหดตัว 2 เดือนติดต่อกัน จากเดือนก่อนที่สินเชื่อหดตัว 1.1% เทียบจากเดือนก่อนหน้า และทำให้สินเชื่อขยายตัวจากสิ้นปี 2565 เหลือ 2.1% นับจากต้นปีมาจนถึงปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม SCB ยังคงเป็นธนาคารที่มีสินเชื่อเติบโตมากที่สุดเมื่อเทียบในกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่

ทั้งนี้ ถึงแม้ว่าสินเชื่อในไตรมาส 4/2566 จะหดตัวลง แต่เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2565 ยังเติบโต และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทำให้รายได้ดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้นมาก และคาดว่าจะทำให้กำไรเพิ่มขึ้นเป็น 9.1 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 29.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้จะคาดว่าค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย การตั้งสำรอง และค่าใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้นก็ตาม แต่เมื่อเทียบกับไตรมาส3/2566 คาดว่ากำไรจะลดลง 6.1% จากช่วงเดียวกันของไตรมาสก่อน เนื่องจากค่าใช้จ่ายที่มักจะเพิ่มขึ้นในช่วงปลายปี อย่างไรก็ดีคาดว่ารายได้ดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้นจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ก็ตาม

โดยการปรับโครงสร้างธุรกิจมาเป็นบริษัทโฮลดิ้ง (Holding company) ทำให้ SCB มีความคล่องตัวในการทำธุรกิจ และมีโอกาสเติบโตมากยิงขึ้น ถึงแม้ว่าการเติบโตนั้นจะทำได้ช้ากว่าที่คาดหวังไว้ก่อนหน้า แต่คาดว่ารายได้จากธุรกิจนอกเหนือธุรกิจธนาคารจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ หลังจากนี้

ขณะที่ฝ่ายนักวิเคราะห์คาดว่าปี 2566 SCB จะมีกำไร 4.2 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากรายได้ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นตามการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อ และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ถึงแม้ว่าจะมีค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย และการตั้งสำรองรวมไปถึงค่าใช้จ่ายจะเพิ่มสูงขึ้นมากก็ตาม อีกครั้งคาดว่าในปี 2567 การตั้งสำรองจะลดระดับลง ทำให้คาดการณ์ว่ากำไรจะเพิ่มขึ้นได้อีก 13.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 4.7 หมื่นล้านบาท

ดังนั้นยังคงยังแนะนำ “ซื้อ” ราคาพื้นฐานไว้ที่ 114 บาท ซึ่งอาจจะเหลือส่วนต่างจากราคาหุ้นในปัจจุบันไม่มาก แต่ปันผลยังคงโดดเด่นเมื่อเทียบกับธนาคารขนาดใหญ่ โดยปี 2566 คาดว่าจะมีการจ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 7.42 บาท คิดเป็นอัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) สูงถึง 7% และเพิ่มเป็นอัตราปันผลหุ้นละ 8.31 บาทในปี 2567 ซึ่งคิดเป็น Dividend Yield ที่ 7.8%

Back to top button