จังหวะเก็บ 5 หุ้นปันผลเด่น-อัพไซด์สูง หลัง SET หลุด 1,400 จุด

จังหวะเก็บหุ้นเด่น หลัง SET ปรับตัวลดลงหลุดระดับ 1,400 จุด ชูหุ้นปันผล-อัพไซด์สูง รวมถึงหุ้นที่คาดว่าจะรายงานผลประกอบการงวดไตรมาส 4/66 ออกมาเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ


บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า ข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ล่าสุดในเดือน ธ.ค. ที่ยังแข็งแกร่งกว่าคาดการณ์ และตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่ผสมผสาน (CPI สูงกว่าคาดการณ์ แต่ PPI ต่ำกว่าคาดการณ์) ทำให้เฟดไม่น่ารีบลดดอกเบี้ยลงเร็วในการประชุมเดือน มี.ค. อย่างที่ตลาดประเมินไว้ว่ายังมีโอกาสค่อนข้างสูงราว 60%

โดยการประชุม FED สิ้นเดือนนี้ (30-31 ม.ค.) คาดการณ์ประธาน FED จะปรามการคาดหวังของตลาดเกี่ยวกับการลดดอกเบี้ยไม่น่าจะเกิดขึ้นได้เร็วจนกว่าเฟดจะมั่นใจว่าคุมเงินเฟ้อลงสู่ระดับเป้าหมายที่ 2% ได้จริงๆ เพราะฉะนั้นน่าจะสร้างความผันผวนต่อตลาดในช่วงครึ่งเดือนหลัง

สำหรับแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 4/66 จากการรวบรวมประมาณการกำไรของตลาดโดยรวม (Bloomberg Consensus) จำนวนทั้งสิ้น 125 บริษัท (คิดเป็น 77% ของมูลค่าตลาดรวมของหุ้นสามัญในตลาด SET, ข้อมูล ณ วันที่17 ม.ค.67) คาดการณ์จะมีกำไรสุทธิรวม 1.89 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นก้าวกระโดด 49% จากปีก่อน จากฐานกำไรที่ต่ำในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว แต่ลดลง 9% จากไตรมาสก่อน

โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดการณ์ว่าจะมีกำไรเติบโตทั้งจากช่วงเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้า คือ กลุ่ม COMM, ICT, PROP, TRANS และ TOURISM หลักๆ ได้อานิสงส์จากความเชื่อมั่นผู้บริโภคเพิ่มขึ้น การท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง และเป็นช่วงฤดูกาลของการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศ

อย่างไรก็ดีเซนติเมนต์ตลาดพลิกเป็นลบมากขึ้นหลัง SET Index ปรับตัวลงหลุดระดับ 1,400 จุด ซึ่งใช้เป็นจุด Stop Loss ของการเทรดดิ้งระยะสั้น เพราะฉะนั้นนักลงทุนที่ได้ขายกระชับพอร์ตไปแล้ว แนะนำเข้าสู่โหมด Wait & See รอทิศทางตลาดจนกว่าจะมีเสถียรภาพก่อนจึงค่อยหาจังหวะเข้าลงทุนอีกครั้ง

สำหรับการเลือกหุ้นในช่วงนี้ แนะนำกลยุทธ์แบบ Bottom-up Approach เน้นที่งบไตรมาส 4/66 คาดจะออกมาดี, แนวโน้มกำไรปีนี้เติบโต, มีปัจจัยหนุนระยะสั้น และการประเมินมูลค่ายังถูก (มีอัพไซด์มากกว่า 20%) หุ้นเด่นที่มีคุณสมบัติครบ หุ้นขนาดใหญ่ แนะนำ BBL, BDMS, BEM, BH, CPALL, MINT และหุ้นขนาดกลาง-เล็ก CKP, ICHI, MAJOR, MENA, NSL, PLANB, SABINA, SJWD, SPA

ทั้งนี้ มองว่าหุ้นขนาดกลาง-เล็กมีโอกาสในการทำกำไรได้ดีกว่า เนื่องจากใช้เม็ดเงินลงทุนไม่มากท่ามกลางสภาวะตลาดที่นักลงทุนใช้ความระมัดระวังเพิ่มขึ้น ถึงแม้ตลาดจะมีความผันผวน แต่มองเป็นจังหวะในการสะสมหุ้นปันผลดี จากการศึกษาของพบว่า หุ้นปันผลมักจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาด (Outperform) เสมอในช่วงเดือน ก.พ. – เม.ย. ของทุกปีโดยมีความเป็นไปได้สูงเฉลี่ยมากกว่า 70% และจะให้ผลตอบแทนโดยรวมเฉลี่ยดีกว่าตลาดประมาณ 2.4%

สำหรับหุ้นที่อยู่ใน SETHD Index ที่คาดว่าจะให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลที่เหลือ (Remaining Dividend Yield) สูงกว่าระดับ 4% ขึ้นไป และตลาดประเมินอัพไซด์มากกว่า 20% ขึ้นไป คือ AP, ORI, TASCO, KTB และ LH

นอกจากนี้ ยังคัดเลือกหุ้นปันผลที่อยู่นอก SET50HD Index 3 วิธีดังนี้ คือ (1) คัดเลือกจากหุ้นที่อยู่ภายใต้การวิเคราะห์ของฝ่ายวิจัย (TISCO Coverage) – หุ้นปันผลเด่น แนะนำ SCCC, SCB, TIPH, TPIPL และ III (2) คัดเลือกจากหุ้นที่อยู่ภายใต้การวิเคราะห์ของตลาด (Bloomberg Consensus) – SAT, ILINK, BSRC, WHAUP และ AH (3) คัดเลือกหุ้นนอกเหนือการวิเคราะห์ของตลาดภายใต้เกณฑ์ที่กำหนด (Non-Bloomberg Consensus) – EASON, PIN, PRAPAT, ITNS และ YONG

Back to top button