CREDIT เคาะช่วงราคาไอพีโอ 28-29 บาท เปิดจองซื้อ 23-26 ม.ค. ก่อนลงเทรด 9 ก.พ.นี้

CREDIT ลุยโชว์กลยุทธ์การเติบโตในงาน “IPO Public Roadshow” เดินหน้าเสนอขายหุ้นไอพีโอ 347 ล้านหุ้น พร้อมกำหนดช่วงราคาเสนอขาย 28-29 บาท/หุ้น เปิดจอง 23-26 ม.ค.67 ก่อนลุยเทรด SET 9 ก.พ.นี้ ตอกย้ำการเป็นธนาคารพาณิชย์เพื่อผู้ประกอบการรายย่อยที่เติบโตอย่างรวดเร็ว


นายวิญญู ไชยวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยเครดิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ธนาคารฯ จัดงานนำเสนอข้อมูลต่อนักลงทุน (Roadshow) การเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ในวันที่ 22 ม.ค. 2567 เพื่อให้ข้อมูลศักยภาพการเติบโตของธุรกิจ ตอกย้ำการเป็นธนาคารพาณิชย์เพื่อผู้ประกอบการรายย่อยที่เติบโตอย่างรวดเร็ว พร้อมเดินหน้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยมี ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ CIMBT เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

อีกทั้งปัจจุบัน ธนาคารไทยเครดิต เป็นธนาคารพาณิชย์ที่มุ่งเน้นการปล่อยสินเชื่อนาโนและไมโครเครดิตเพื่อคนค้าขาย (Nano and Micro Finance) และสินเชื่อธุรกิจไมโครเอสเอ็มอี (Micro SME) ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าในประเทศไทยที่ยังไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้เท่าที่ควร กลุ่มลูกค้าดังกล่าวมีจำนวนมากและถือเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ รวมไปถึงบริการเงินฝาก บริการสินเชื่อเพื่อการค้าต่างประเทศ และบริการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจธนาคารฯ ชูจุดเด่นของธนาคารไทยเครดิต ถือเป็นธนาคารพาณิชย์ที่มี NIM (Net Interest Margin) สูงสุดในอุตสาหกรรม และมีอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ (Cost to Income Ratio) ต่ำที่สุดในอุตสาหกรรม รวมถึงมีอัตราการเติบโตของสินเชื่อสูงสุดในอุตสาหกรรม

อย่างไรก็ดีสำหรับผลการดำเนินงานปี 2563 ธนาคารฯ มีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ 6,370.9 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 1,372.9 ล้านบาท ในปี 2564 ธนาคารฯ มีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ 8,493.6 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1,935.0 ล้านบาท ส่วนในปี 2565 ธนาคารฯ มีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ 11,052.4 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,352.5 ล้านบาท และในงวด 9 เดือนแรกของปี 2566 ธนาคารฯ มีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิอยู่ที่ 9,783.8 ล้านบาท และกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,816.7 ล้านบาท

ขณะที่ อัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเฉลี่ย (ROE) เท่ากับ ในปี 2563 อยู่ที่ 18.0% ในปี 2564 อยู่ที่ 20.7% และในปี 2565 อยู่ที่ 18.9% และในงวด 9 เดือนแรกของปี 2566 อยู่ที่ 21.8%  สำหรับปี 2563-2565 และงวด 9 เดือนแรกของปี 2566 รวมทั้งเงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้ของธนาคารฯ ในปี 2563 มีจำนวนเท่ากับ 68,562.4 ล้านบาท ในปี 2564 อยู่ที่ 97,728.7 ล้านบาท และในปี 2565 อยู่ที่ 121,298.0 ล้านบาท ส่วนงวด 9 เดือนแรกของปี 2566 อยู่ที่ 138,435.1 ล้านบาท โดยอัตราเติบโตโดยเฉลี่ยสะสมต่อปี (CAGR) อยู่ที่ 33.0% ต่อปี (2563-2565) ซึ่งมีปัจจัยหลักมาจากการเติบโตในทุกกลุ่มสินเชื่อหลักของธนาคารฯ ทั้งสินเชื่อธุรกิจไมโครเอสเอ็มอี สินเชื่อนาโนและไมโครเครดิตเพื่อคนค้าขาย และสินเชื่อบ้าน

ทั้งนี้การเข้ามาระดมทุนในครั้งนี้ จะเพิ่มศักยภาพในการบริหารงาน โดยวัตถุประสงค์การระดมทุนเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของเงินกองทุนของธนาคารฯ เพื่อใช้เป็นเงินทุนสำหรับการขยายพอร์ตสินเชื่อ รวมทั้งการปรับปรุงและพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศในการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัล (Digital Transformation) และโครงสร้างพื้นฐานด้านความปลอดภัยของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT Security and Infrastructure) รวมทั้งใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ และวัตถุประสงค์อื่น ๆ

ด้าน นายกนต์ธีร์ ประเสริฐวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ CIMBT ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน เปิดเผยว่า ธนาคารไทยเครดิต จำกัด (มหาชน) ได้เริ่มเดินสาย Roadshow นักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศ นักลงทุนรายย่อย เพื่อโชว์ศักยภาพธนาคารฯที่มีความมั่นคง และการมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่น โดย ธนาคารไทยเครดิตมีอัตราการเติบโตของเงินให้สินเชื่อสูง ผลิตภัณฑ์และจำนวนลูกค้าสินเชื่อของธนาคารฯ มีการขยายตัว มีผลตอบแทนสูง ด้วยโครงสร้างเงินทุนที่ต้นทุนต่ำ

โดยปัจจุบัน ธนาคารฯ ได้เตรียมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่ออกและเสนอขายโดยธนาคารฯ และหุ้นสามัญที่เสนอขายโดยผู้ถือหุ้นเดิม จำนวนไม่เกิน 347,029,122 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 5.00 บาท/หุ้น คิดเป็นไม่เกินร้อยละ 28.2 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของธนาคารฯ ภายหลังการทำ IPO  นับเป็นธนาคารพาณิชย์ที่เสนอขายหุ้น IPO ในรอบ 10 ปี

ทั้งนี้ ธนาคารไทยเครดิต มีนักลงทุนสถาบันทั้งไทยและต่างประเทศสนใจเข้ามาลงทุนธนาคารไทยเครดิต รูปแบบผู้ลงทุนสถาบันที่เป็น Cornerstone Investors รวมจำนวน 6 ราย คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณไม่เกิน 140,352,490 หุ้น ที่ราคาเสนอขายสุดท้าย หรือคิดเป็นประมาณ 40% ของจำนวนหุ้น IPO ทั้งหมด สะท้อนความเชื่อมั่น ประกอบด้วยผู้ลงทุนสถาบันที่เป็น Cornerstone Investors ที่จองซื้อในประเทศ จำนวนประมาณไม่เกิน 23,646,600 หุ้น คือ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทาลิส จำกัด และ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อเบอร์ดีน (ประเทศไทย) จำกัด

โดยได้เสนอขายต่อผู้ลงทุนสถาบันที่เป็น Cornerstone Investors ที่จองซื้อในต่างประเทศ จำนวนประมาณไม่เกิน 116,705,890 หุ้น คือ 1.บรรษัทเงินทุนระหว่างประเทศ (International Finance Corporation (IFC)) 2.ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank) และ 3.E.SUN Commercial Bank, Ltd.

อนึ่ง สำหรับการกำหนดราคาเสนอขายสุดท้าย (Final Price) ของหุ้นสามัญที่เสนอขายในครั้งนี้ จะกระทำผ่านการสำรวจความต้องการซื้อหลักทรัพย์ (Bookbuilding) ซึ่งเป็นวิธีการสอบถามปริมาณความต้องการซื้อหุ้นสามัญของนักลงทุนสถาบันในแต่ละระดับราคา โดยช่วงราคาที่นำมาใช้ทำการสำรวจความต้องการซื้อหลักทรัพย์ (Bookbuilding) อยู่ที่ระหว่าง 28.00 – 29.00 บาทต่อหุ้น ซึ่งธนาคารฯ, ผู้ถือหุ้นเดิม, ผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย และ ผู้ซื้อหุ้นเบื้องต้นในต่างประเทศ (Initial Purchasers) จะพิจารณาร่วมกันในการกำหนดราคาเสนอขายสุดท้าย (Final Price) โดยพิจารณาจากราคาและจำนวนหุ้นที่นักลงทุนสถาบันเสนอความต้องการซื้อเข้ามา

อย่างไรก็ดีธนาคารฯ เตรียมเปิดให้จองซื้อสำหรับนักลงทุนรายย่อย ระหว่างวันที่ 23 – 26 ม.ค. 2567 และเตรียมเปิดให้นักลงทุนสถาบันจองซื้อในวันที่ 31 ม.ค. – 2 ก.พ. 2567 ผ่านช่องทางบริษัทหลักทรัพย์ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย 3 ราย ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) จํากัด, บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) และ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)

พร้อมกันนี้ยังมีบริษัทหลักทรัพย์ในฐานะผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายอีก 6 ราย ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จํากัด (มหาชน),  บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จํากัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ พาย จํากัด (มหาชน)บริษัทหลักทรัพย์ ไอร่า จํากัด (มหาชน) และ บริษัทหลักทรัพย์ เอสบีไอ ไทย ออนไลน์ จำกัด รวมถึงตัวแทนจำหน่ายหุ้น 1 ราย คือ ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ CIMBT

โดยนักลงทุนรายย่อยจะชำระเงินที่ราคา 29.00 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นราคาเสนอขายสูงสุดของช่วงราคาเสนอขายเบื้องต้น และจะได้รับคืนส่วนต่างค่าจองซื้อคืน หากราคาเสนอขายสุดท้ายต่ำกว่าราคา 29.00 บาทต่อหุ้น ภายหลังการเสนอขาย IPO แล้วเสร็จ “CREDIT” และคาดการณ์ว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในหมวดกลุ่มธุรกิจการเงิน / ธนาคาร 9 ก.พ.นี้

นอกจากนี้ผู้สนใจลงทุนสามารถศึกษาข้อมูลจากแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนของ ธนาคารไทยเครดิต จำกัด (มหาชน) ได้ที่เว็บไซต์ของสำนักงาน ก.ล.ต. https://market.sec.or.th/public/ipos/IPOSEQ01.aspx?TransID=527568&lang=th หรือติดตามข้อมูลข่าวสารได้ที่เว็บไซต์ www.thaicreditbank.com

Back to top button