ส่อง 3 หุ้น “กลุ่มไฟแนนซ์” ลุ้นกำไรปี 67 โตแกร่ง ชู TIDLOR เด่น!

โบรกมองกำไรปี 67 “กลุ่มไฟแนนซ์” ขยายตัวสูงขึ้น 18.3% รับรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น และรายได้ค่าคอมมิชชั่นขยายตัว รวมถึงต้นทุนความเสี่ยงจากการให้สินเชื่อลดลง ชู TIDLOR เป็นหุ้นเด่น ยังคงแนะนำ “ซื้อ” มูลค่าพื้นฐาน 27 บาท ลุ้นกำไรสุทธิปี 67 ขยายตัวสูง หลังงบดุลแข็งแกร่ง


บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า กลุ่มไมโครไฟแนนซ์ 3 แห่ง คือ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC, บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD และ บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR มีกำไรสุทธิรวมตามคาดการณ์อยู่ที่ 3.5 พันล้านบาท เพิ่ม 11.4% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 4.4% จากไตรมาสก่อนหน้าในไตรมาส 4/2566 โดยการเติบโตเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน หนุนจากการขยายตัวของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NI) ล้อกับการขยายสินเชื่อ และรายได้ค่าธรรมเนียมจากค่าคอมมิชชั่นการเป็นนายหน้าขายประกัน แต่กำไรสุทธิอ่อนตัวลงจากไตรมาสก่อนหน้าเป็นผลมาจากต้นทุนการเงินเพิ่มขึ้นจากส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ปรับลดลง และค่าใช้จ่ายการดำเนินงานสูงขึ้นจากการขยายสาขา รวมถึงสำรองหนี้ฯ และการรับรู้ผลขาดทุนจากการขายรถยึดสูงขึ้น

โดย MTC มีกำไรสุทธิสูงสุดที่ 1.35 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.4% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 5.1% จากไตรมาสก่อนหน้า ส่วน SAWAD และ TIDLOR รายงานกำไรเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า

สำหรับผลรวมของกำไรสุทธิปี 2566 เติบโต 3.7% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 13.7 พันล้านบาท (โดยในปี 2565 เติบโต 2.9%) โดย SAWAD มีกำไรสุทธิเติบโตโดดเด่น 11.7% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เป็นผลบวกจากธุรกิจปกติ และการรวมกิจการของบริษัทเงินสดทันใจ หรือ Fast Money (FM) เข้ามาในไตรมาส 2/2566 ขณะที่ TIDLOR มีกำไรเติบโต 4.1% แต่ MTC กำไรปรับลดลง 3.7 กดดันหลักจากสำรองหนี้ฯ และขาดทุนรถยึดสูงขึ้น

สำหรับสินเชื่อรวมเติบโต 4.4% จากไตรมาสก่อนหน้าในไตรมาส 4/2566 และสินเชื่อปี 2566 เติบโตแกร่ง 31% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดย SAWAD โดดเด่นมีสินเชื่อขยายตัว 71.2% ในปี 2566 จากการขยายธุรกิจปกติ (สินเชื่อจำนำทะเบียนและจำนำที่ดิน และเช่าซื้อรถจักรยานยนต์) และจากการรวมสินเชื่อของ FM

ด้านหนี้เสียรวมปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง 6.5% จากไตรมาสก่อนหน้าในไตรมาส 4/2566 และเพิ่มขึ้น 43.6% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนในปี 2566 โดย TIDLOR มีคุณภาพสินเชื่อแข็งแกร่งที่มี NPL ratio ต่ำที่สุด 1.45% และมีอัตราส่วนความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ย (Coverage ratio) ปรับตัวสูงที่สุด 282.1% หลังจากได้ตัดจำหน่ายหนี้สูญล่วงหน้า และตั้งสำรองหนี้ฯ พิเศษเพิ่มในไตรมาส 4/2566

ทั้งนี้ คาดการณ์ว่ากำไรสุทธิรวมปี 2567 จะขยายตัวสูงขึ้นที่ 18.3% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนเทียบกับที่เติบโตเพียง 3.7% ในปี 2566 เพราะแม้ส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ปรับตัวลดลง แต่เพราะผลบวกจาก NII สูงขึ้นจากการขยายตัวแข็งแกร่งของสินเชื่อ และรายได้ค่าธรรมเนียมขยายตัวจากธุรกิจนายหน้าประกัน

โดยทั้ง 3 บริษัทจะมีกำไรสุทธิเติบโต และคาดการณ์ MTC มีกำไรสุทธิจะขยายตัวโดดเด่น 19.7% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน 19.1% ของ TIDLOR และ 16.4% ของ SAWAD

สำหรับการฟื้นตัวของผลกำไรทำให้อัตราผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ของ MTC และ TIDLOR เพิ่มขึ้นในปี 2567 ส่วน ROE ของ SAWAD จะทรงตัว แต่ยังคงสูงกว่าคู่แข่งที่ 18.5%

ทั้งนี้ยังคงน้ำหนักการลงทุน “เท่ากับตลาด” พราะแม้ความสามารถการทำกำไรจะปรับตัวดีขึ้น แต่ยังต้องเผชิญความท้าทายจากคุณภาพสินเชื่อที่เปราะบาง NIM ปรับลดลง และความเข้มงวดของมาตรการภาครัฐกดดันการดำเนินธุรกิจ โดยชอบ TIDLOR ยังคงแนะนำ “ซื้อ” มูลค่าพื้นฐาน 27 บาท เพราะงบดุลแข็งแกร่ง ขณะที่กำไรสุทธิปี 2567 ขยายตัวสูง และการประเมินมูลค่า (Valuation) ที่น่าสนใจ

ขณะที่ SAWAD ยังคงแนะนำ ‘ซื้อ” มูลค่าพื้นฐาน 51 บาท จากความโดดเด่นของ ROE สูง, Valuation ไม่แพง

ส่วน MTC ยังคงแนะนำ “ถือ” มูลค่าพื้นฐาน 50 บาท แม้คาดการณ์ว่ากำไรสุทธิจะฟื้นตัวแข็งแกร่งในปี 2567 แต่ Valuation ค่อนข้างสูงเทียบกับคู่แข่ง

Back to top button