ส่อวุ่น! พิสูจน์รายได้รับเงินดิจิทัล 1 หมื่น ต้องเป็นผู้ยื่นภาษีเท่านั้น

ชัดแล้ว! ใครมีสิทธิรับ “ดิจิทัล วอลเล็ต“ หมื่นบาท ต้องเป็นผู้ยื่นภาษีเพื่อพิสูจน์รายได้เท่านั้น แค่เงื่อนไข อายุ 16+ เงินเดือนต่ำ 7 หมื่นบาท และมีเงินเก็บไม่เกิน 5 แสนบาท ยังไม่พอ..


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (11 เม.ย. 67) นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยในรายการ เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand เกี่ยวกับประเด็นเรื่องโครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท โดยกล่าวว่า เรื่องของที่มาของเงินทำโครงการนั้นเป็นงบประมาณที่ถูกกฎหมายและเป็นไปตามกรอบวินัยการเงินการคลัง ซึ่งในวันที่เริ่มโครงการนั้นจะมีเงินอยู่เต็มจำนวน 5 แสนล้านบาท ส่วนวันที่เริ่มโครงการตอนนี้ยังคงเป็นไตรมาส 4 ส่วนจะวันไหนก็จะทำให้เร็วที่สุด และจะพยายามทำให้เป็นของวันในช่วงวันปีใหม่ต่อเนื่องไปจนถึงวันสงกรานต์

ส่วนเงื่อนไขหลักเกณฑ์คนที่จะได้รับเงินโครงการ ย้ำว่าตรงนี้จะต้องมีรายได้ไม่เกิน  840,000 ของรายได้พึงประเมินที่มีการตั้งไว้ รวมทั้งมีเงินฝากไม่เกิน 500,000 บาท ส่วนเรื่องของการตรวจสอบคนที่ประกอบอาชีพอิสระ อินฟลูเอ็นเซอร์ หรือ คนไม่ได้อยู่ในระบบการเก็บภาษี อย่างเช่น คนขับรถแท็กซี่ เรื่องนี้ถือว่าเป็นหน้าที่ของคนไทยที่จะต้องเสียภาษี สำหรับการจะได้รับเงินในโครงการนั้น จะต้องเป็นคนที่อยู่ในระบบการเสียภาษี ต้องเป็นคนยื่นแบบภาษี ซึ่งจะทำให้รัฐรับรู้ได้ตรงนี้ ซึ่งเจตนาของโครงการนี้นอกเหนือจากกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างรัฐบาลดิจิทัล ก็มีเจตนาจะดึงคนเข้าระบบภาษีทั้งประชาชนและร้านค้า ซึ่งเป็นอีกจุดประสงค์ที่ซ่อนอยู่ของโครงการนี้

ส่วนที่ถามว่าคนที่ขับแท็กซี่ หรือ เป็นคนที่ไม่ได้ยื่นแบบภาษี แต่หลักเกณฑ์อื่นนั้นถือว่าผ่าน เรื่อง นายเผ่าภูมิ กล่าวว่า รัฐบาลยึดรายได้ของกรมสรรพากรเป็นหลัก ว่าเป็นเงินได้พึงประเมินประเมินตามมาตรา 40  แต่อย่างไรก็ดีจะต่างกับการลงทะเบียนของร้านค้าทั่วไปที่ไม่ต้องอยู่ในระบบภาษี ก็สามารถเข้าร่วมโครงการร้านค้าได้ สามารถรับเงินได้ คนที่มีเงินดิจิทัลก็สามารถมานำมาใช้จ่ายในร้านได้ แต่จะมีข้อจำกัดก็คือไม่สามารถนำไปขึ้นเงินได้ โดยสามารถเอาเงินไปซื้อร้านอื่นต่อได้ในระบบให้เงินหมุนเวียน แต่ถ้าจะขึ้นเงินต้องเป็นร้านค้าในระบบการเสียภาษีถูกต้องตามที่โครงการกำหนด

สำหรับโครงการนี้เป็นการสนับสนุนให้ร้านค้าเข้ามาอยู่ในระบบ อันนี้คือเจตนารมณ์ภาพใหญ่ของประเทศ อะไรที่จะทำให้คนเข้ามาอยู่ในระบบภาษีนั้นถือเป็นเรื่องที่ดี ซึ่งย้ำว่าร้านค้ารายย่อยก็ยังสามารถเข้ามาร่วมโครงการได้ แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในระบบภาษีก็ตาม

นอกจากนี้ก็ย้ำว่าสำหรับคนที่ได้รับสิทธิสวัสดิการอื่นๆอยู่นั้น ถ้าเข้าหลักเกณ์ที่กำหนดไว้ก็สามารถเข้าร่วมโครงการรับแจกเงิน 10,000 บาทได้ แม้ว่าจะถือบัตรสวัสดิการก็ตาม

ส่วนเรื่องของ Super App ที่จะมาเป็นช่องทางการใช้จ่ายเป็นแอพพลิเคชั่นใหม่ เรื่องนี้จะต้องแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่ต้องมีการยืนยันตัวตนจะเป็นแอพฯเดิมของภาครัฐที่พัฒนาให้สามารถรองรับคนได้ 50 ล้านคน ส่วนเรื่องการทำธุรกรรมจะเป็นระบบ Open loop ที่สามรถไปเชื่อมกับกระเป๋าตังค์ต่างๆที่มีอยู่ในประเทศไทยได้ เรื่องนี้ได้มีการพูดถึงตั้งแต่วันแรกที่มีการพูดถึงโครงการนี้ ยืนยันว่า Super App จะเหมือนเป็นแอพฯกลางที่ไปเชื่อมกับแอพฯธนาคารอื่นๆได้ ได้ทั้งเอกชนและภาครัฐ  ทั้งนี้เงิน 10,000 บาทที่จะแจกนี้ไม่ได้เป็นโทเคน หรือ คริปโตเคอร์เรนซี ไม่ใช่สกุลเงินใหม่ แต่เป็นเงินที่เต็มจำนวน มีค่าเทียบเท่าเงินบาท ไม่สามารถเอามาเก็งกำไรได้ เป็นตัวเลขในแอพฯที่สามารถใช้ได้เหมือนเงินบาท

สำหรับประเด็นเกี่ยวกับการใช้เงินซื้อสินค้านั้น เจตนาของโครงการต้องการให้เงินหมุนเวียนในระบบมากที่สุด หากมีร้านค้าขนาดเล็กเอาเครื่องใช้ไฟฟ้า หรือของที่ขายเหมือนห้างสรรพสินค้ามาจำหน่าย เรื่องแบบก็ต้องมีการตรวจสอบ ส่วนเรื่องเขตการใช้จ่ายเงิน ตรงนี้จะไม่มีผ่อนปรนให้กับคนที่อยู่ต่างถิ่นจากบัตรประชาชน โดยหากจะใช้เงินในโครงการก็จะต้องกลับไปที่ภูมิลำเนาในอำเภอ ซึ่งเรื่องนี้มองว่าจำเป็นต้องทำเพื่อป้องกันการทุจริต

นายเผ่าภูมิ กล่าวว่า ที่ผ่านมารัฐบาลได้ฟังเสียงของทุกคนที่มีความเห็นต่อโครงการ เพราะรัฐบาลต้องการแจกให้ทุกคน ซึ่งบางคนก็อยากให้เฉพาะกลุ่มเท่านั้น  แต่รัฐบาลก็มีการถอยคนละก้าว ตัดคนส่วนบนๆออก ซึ่งคนที่คัดค้านนั้นต้องการให้คนที่เป็นกลุ่มเปราะบางเพียง 10กว่าล้านคน แต่รัฐบาลต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ จึงทำให้รัฐบาลทำโครงการนี้

สำหรับโครงการนี้มีการประเมินแล้วว่าจะมีผลต่อจีดีพี 1.2-1.8  ซึ่งถือว่าค่อนข้างสูง นอกจากนี้ยังได้ประโยชน์เกี่ยวกับเทคโนโลยีด้วย.

Back to top button