3 โบรกเชียร์ซื้อ NER เคาะเป้าสูง 7.20 บ. มองกำไรปี 67 แตะ 1.8 พันล้านบาท

3 โบรกฯ ประสานเสียงแนะซื้อ NER ให้ราคาเป้าหมายสูงสุด 7.20 บาท หลังกวาดกำไรไตรมาส 1/67 แตะ 454 ล้านบาท โต 44.29% คาดกำไรปี 67 แตะ 1.8 พันล้านบาท มั่นใจราคายางปีนี้ขาขึ้น!


บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2567 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2567 มีรายได้จากการขายรวม 6,541.85 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 285.45 ล้านบาท หรือ 4.60% แบ่งเป็นรายได้จากการขายในประเทศ 4,869.56 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 74.44% และรายได้จากการขายต่างประเทศ 1,672.29 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 25.56% ของยอดขายรวม ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิ 453.62 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 44.29% จากงวดเดียวของปีก่อนมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 314.38 ล้านบาท

โดยรายได้จากการขายเพิ่มสูงขึ้นจากสถานการณ์ราคายางเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนนั้น ราคาขายสินค้ายางเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 16.45% เกิดจากสถานการณ์ราคายางที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 924.02 ล้านบาท และแบ่งเป็นผลต่างด้านปริมาณที่ปรับตัวลดลงอยู่ที่  639.94 ล้านบาท

ส่วนแนวโน้มการเติบโตปี 2567 ด้วยสถานการณ์ยางพาราที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นโดยคาดว่าไม่ต่ำกว่า 70 บาทต่อกิโลกรัม บริษัทได้รับอนิสงค์ตามความต้องการของตลาด (Demand) ภาวะฟื้นตัวของอุตสาหกรรมทั้งตลาดในและต่างประเทศ โดยเฉพาะเรื่องอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่เพิ่มขึ้น ที่มีความต้องการมากขึ้น การใช้งานมากขึ้นและยังมีย้ายฐานการผลิตเข้ามาในประเทศ ดังนั้นตลาด EV นับเป็นตลาดสำคัญของกลุ่มธุรกิจยางพารา

ขณะที่เดียวกันทาง 3 โบรกเกอร์ออกบทวิเคราะห์ประสานเสียงให้คำแนะนำ “ซื้อ” หุ้น NER โดยให้ราคาเป้าหมายสูงสุด 7.20 บาท ด้วยผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2567 ออกมาเติบโตแข็งแกร่งและแนวโน้มในช่วงที่เหลือของปีธุรกิจยังเติบโตต่อเนื่อง

บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ในไตรมาส1/67 บริษัทฯ มีปริมาณขาย 1.15 แสนตัน ลดลง 10.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุจากการลดลงของ STR-Mixtures เป็นหลัก ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ส่งออกไปจีน อย่างไรก็ตาม ยังมีสัดส่วนรายได้ในประเทศสูงขึ้นที่ 74% ของรายได้รวม ทำรายได้รวมของบริษัทฯ อยู่ที่ 6,540 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.6% จากปีก่อน เป็นผลจากราคาขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 16.50% เป็นหลัก

ทั้งนี้ส่งผลทำให้อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) อยู่ที่ 11.6% ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าและช่วงเดียวกันของปีก่อน และด้วยสัดส่วนยอดขายต่างประเทศที่ลดลง ทำให้บริษัทฯ มีค่าขนส่งระหว่างประเทศและค่ากองทุนทำสวนยาง (CESS) ลดลงตาม เป็นผลให้มีค่าใช้จ่ายในการขายและบริการ (SG&A to sale) ลดลงมาอยู่ที่ 2.30% เป็นผลทำให้บริษัทฯ สามารถทำกำไรสุทธิในไตรมาส 1/67 อยู่ที่ 453.60 ล้านบาท เติบโต 44.30% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

อย่างไรก็ตาม ปัญหาภัยแล้งเป็นปัจจัยหลักที่ผลต่อผลผลิตยางพาราของไทยในปีนี้ โดยคาดการณ์ว่าในไตรมาส 2/67 ปริมาณขายของบริษัทฯ จะลดลงและต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาส 3/67 แต่ในช่วงไตรมาส 2/67 จะยังได้ประโยชน์จากราคาขายเฉลี่ยที่สูงขึ้น ทำให้ยังมีแนวโน้มกำไรที่สูงขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนและจากไตรมาสก่อนหน้า และประมาณการกำไรสุทธิอยู่ที่1,906 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.30% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยปีนี้จะได้ประโยชน์จากด้านราคายางเป็นหลัก

ทั้งนี้ ฝ่ายวิเคราะห์ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” หุ้น NER ให้ราคาเป้าหมาย 7.20 บาท/หุ้น โดยมีมุมมว่าเป็นปีที่ราคายางมีทิศทางเป็นขาขึ้น

บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ถึงปัญหาภัยแล้งที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปลายปีก่อน ขณะที่ปริมาณฝนน้อยกว่าปกติยาวนานถึงเดือน พ.ค. (มีการคาดว่าผลช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค. จะน้อยกว่าค่าเฉลี่ยกว่า 30% ในภาคอีสาน) ทำให้แม้ว่าในช่วง ครึ่งหลังของปี 67 จะเป็นช่วงลานีญาที่จะมีฝนตกเพิ่ม อาจจะทำให้ปริมาณยางออกมาไม่เป็นไปตามคาดการณ์ไว้

โดยทางผู้บริหารของบริษัทฯ ระบุว่า คาดการณ์ปริมาณขายทั้งปีอาจจะไม่ถึง 500,000 ตัน ซึ่งจะเห็นผลชัดเจนในช่วงไตรมาส 3/67 ซึ่งปริมาณขายไตรมาสดังกล่าวอาจจะต่ำกว่าระดับเฉลี่ย 100,000 ตันได้ แต่การลดลงของปริมาณขายจะถูกชดเชยจากราคาขายที่คาดการณ์ว่าจะปรับตัวดีขึ้นเป็น 68-77 บาท/กก. ได้ (ปี 66 ราคาขายเฉลี่ยเพียง 50 บาท/กก.) จากผลดังกล่าวทำให้ NER มีการชะลอการก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ที่เดิมคาดการณ์ว่าจะเริ่มผลิตได้ในช่วงไตรมาส 2/68 เลื่อนไปเป็นช่วงครึ่งหลังของปี 68 แทน

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิเคราะห์ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมาย 7.10 บาท โดยมองว่าจะได้รับปัจจัยบวกจากผลประกอบการงวดไตรมาส 2/67 ที่คาดการณ์ว่าจะเติบโตได้ต่อทั้งจากการรับรู้ผลดีของราคายางที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นตั้งแต่ต้นปีมาชดเชยปริมาณขาย แต่ยังคงประมาณการทั้งปี 67 อยู่ที่ 1,889 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เพื่อรอถึงความชัดเจนของการปรับปริมาณขายลงของทางบริษัทฯ โดยฝ่ายวิเคราะห์คาดการณ์ปริมาณขายที่ระดับ 498,000 ตัน

บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ ประมาณการกำไรปกติปี 67 ของบริษัท NER อยู่ที่ 1.80 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเบื้องต้นคงสมมติฐานรายได้จะเติบโต 9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) อยู่ที่ 11.6%

สำหรับแนวโน้มในไตรมาส 2/67 คาดการณ์กำไรปกติจะขยายตัวต่อเนื่อง ได้รับแรงหนุนโดยอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ปรับตัวดีขึ้น จากอานิสงส์ราคาขายยางซึ่งมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นถึง 30% จากปีก่อน และเพิ่มขึ้น 25% จากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งสะท้อนจากราคาขายในช่วงปีที่ผ่านมา สาเหตุจากความกังวลสถานการณ์ El Nino และการเข้าสู่ช่วงฤดูปิดกรีด

ดังนั้นคงคำแนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมาย 6.80 บาท ได้รับแรงหนุนจาก 1) อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) มีโอกาสดีกว่าคาดการณ์ จากราคายางทรงตัวสูง, 2) แผนขยายโรงงานใหม่แห่งที่ 3 ซึ่งเริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์กลางปี 68 และ 3) อานิสงส์การขยายตัวของอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (EV)

Back to top button