BRI ชูกลยุทธ์ “3D” ลุยเปิด 7 โครงการใหม่ มูลค่าหมื่นล้าน ตั้งเป้ารายได้ปีนี้แตะ 6 พันล้าน
BRI กางแผนครึ่งหลังปี 67 ชูกลยุทธ์ “3 Dimensions Strategy” พร้อมเปิด 7 โครงการใหม่ รวมมูลค่า 1 หมื่นล้านบาท ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ แตะ 6 พันล้านบาท
ดร.ศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ Chief Executive Officer บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI เปิดเผยข้อมูลภาพรวมธุรกิจของบริษัทผ่านงาน Opportunity Day จัดโดย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2567 ว่าผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2567 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 206.47 ล้านบาท ลดลง 40.69% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 348.10 ล้านบาท
ส่วนรายได้รวมอยู่ที่ 1,067.80 ล้านบาท ลดลง 31.30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 1,553.80 ล้านบาท โดยเป็นผลมาจากรายได้การขายอสังหาริมทรัพย์ รวมไปถึงรายได้ค่าบริหารงานโครงการ รายได้ค่าบริหารงานขายและการตลาดและรายได้ค่าบริหารงานฝ่ายบริหารจากบริษัทร่วมปรับตัวลดลง ซึ่งเกิดจากการลงนามในโครงการร่วมค้าที่ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปี 2566 กลุ่มบริษัทเริ่มมีการกระจายตัวไปในต่างจังหวัดหัวเมืองใหญ่ทั่วประเทศ
อย่างไรก็ตาม ตลาดระยะเวลา 8 ปีที่ BRI ได้ดำเนินธุรกิจมานั้นมีการเติบโตจากการขยายโครงการและแบรนด์ รวมทั้งสิ้น 5 แบรนด์ ซึ่งมีราคาแตกต่างกันออกไป ได้แก่ Brighton ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 2.5-4 ล้านบาท, Britania ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 4-8 ล้านบาท, Grand Britania ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 8-20 ล้านบาท, Belgravia ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 20-50 ล้านบาท และสุดท้ายแบรนด์ Branded Residence ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 19-60 ล้านบาท โดยหากรวมมูลค่าของโครงการที่บริษัทได้ดำเนินงานมานั้นจะอยู่ที่ 57,372 ล้านบาท ซึ่งอยู่ใน 45 โปรเจค จาก 5 แบรนด์ที่กล่าวมาข้างต้น
นางสาวพนิตากรณ์ วงษ์ประกอบ Senior Vice President of Finance and Accounting กล่าวเสริมว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2567 บริษัทมีงานในมือ (Backlog) อยู่ที่ 1,195 ล้านบาท ซึ่งมาจากโครงการ NON-JV จำนวน 1,028 ล้านบาทจาก 34 โปรเจค และโครงการ JV จำนวน 167 ล้านบาท รวม 7 โปรเจค อย่างไรก็ตามแบรนด์หลักๆ ที่มี Backlog อยู่มากที่สุด คือ Britania จำนวน 533 ล้านบาท คิดเป็น 45%, รองลงมาคือ Branded Residence อยู่ที่ 511 ล้านบาท คิดเป็น 43%, Grand Britania อยู่ที่ 128 ล้านบาท คิดเป็น 11% และ Brighton อยู่ที่ 23 ล้านบาท คิดเป็น 2%
ดร.ศุภลักษณ์ กล่าวว่า จากครึ่งปีแรกที่ผ่านมานับว่ามีผลกระทบต่อการดำเนินงานจากปัจจัยต่างๆ อาทิ เศรษฐกิจซบเซา, กำลังซื้อที่ยังไม่ฟื้นตัว, สถาบันการเงินเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อ รวมทั้งดอกเบี้ยทรงตัวระดับสูง โดยกลยุทธ์ในครึ่งหลังปี 2567 BRI ยังคงมองภาพการดำเนินงานในอนาคตเป็นกลางจากปัจจัยที่กล่าวมา โดยจากภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันนั้น ยังไม่มีสัญญาที่ชัดเจนถึงภาพการฟื้นตัวแม้จะมีจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มมากขึ้นก็ตาม แต่ในภาพการผลิตและอุตสาหกรรมยังคงมีปัจจัยกดดันจากการสินค้าจีน การปิดตัวของโรงงาน เป็นต้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของประชาชนไม่ฟื้นตัว
ขณะที่ BRI มองว่าภาพการดำเนินธุรกิจในปีนี้ ต้องมีการปรับตัวและระมัดระวังการดำเนินธุรกิจ อย่างไรก็ตาม BRI คาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถกลับมาเปิดโครงการได้ในปีนี้ รวมทั้งสิ้น 7 โครงการมูลค่า 10,000 ล้านบาท ซึ่งคาดการณ์ยอด Presales อยู่ที่ 8,000 ล้านบาท พร้อมกับการตั้งเป้าหมายจากการโอนกรรมสิทธิ์อยู่ที่ 6,000 ล้านบาท โดยยอดดังกล่าวรวมทั้งโครงการ JV และ NON-JV
ทั้งนี้ บริษัทมีกลยุทธ์ที่จะนำมาปรับใช้ในการดำเนินงานครึ่งหลังปี 2567 คือ 3 Dimensions Strategy ได้แก่ 1.Double หรือ การเพิ่มการเข้าถึงลูกค้า พร้อมกับสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นผ่านการสื่อสารเป็นประจำและให้บริการที่ดีที่สุดตั้งแต่การต้นไปถึงการโอนกรรมสิทธิ์ รวมทั้งการนำเสนอสิทธิพิเศษ โปรโมชั่น สิ่งจูงใจเพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ
2.Detailing การมุ่งเน้นให้ข้อมูลที่สมบูรณ์และถูกต้องเกี่ยวกับโครงการแก่ลูกค้า พร้อมกับการนำเสนอภาพรวมโครงการทั้งจุดแข็งและจุดขาย คุณค่า รายละเอียดเชิงลึกอื่นๆ อีกทั้งต้องมีการสังเกตลูกค้าอย่างรอบคอบ พิถีพิถัน พร้อมตอบคำถามของลูกค้าอย่างชัดเจนเพื่อสร้างความมั่นใจให้ลูกค้าสร้างตัดสินใจซื้อ และ3.Daily หรือการกระจายเป้าหมายเป็นรายวัน จากการทำรายงานการทำงานสำหรับพื้นที่ที่รับผิดชอบ เพื่อทำให้ทุกวันคือโอกาส
“สุดท้ายนี้หนึ่งในเสน่ห์ของโครงการ BRI คือทำเลที่ตั้งผ่านแนวคิด “ชีวิตดี เริ่มต้นที่ทำเล” ซึ่งเป็นแคมเปญของบริษัทและเป็นเข็มทิศให้ทีมงาน BRI ทุกคนได้หันกลับมาสร้างเสน่ห์ในครึ่งปีหลังจากนี้” ดร.ศุภลักษณ์ กล่าว
ส่วนประเด็นการจ่ายหนี้หุ้นกู้นั้น บริษัทมีแผนการจัดหาเงินเพื่อการชำระหนี้ โดยในเดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมา BRI มีการออกหุ้นกู้ไปแล้วและมียอดกลับมาอยู่ที่ 1,300 ล้านบาท ซึ่งจากจำนวนเงินที่ได้มา BRI จะนำมาชำระหนี้หุ้นกู้ที่ครบกำหนดในเดือนมิถุนายน ประมาณ 500 ล้าน ส่วนที่เหลือบริษัทคาดการณ์ว่าจะนำไปลงทุน ขณะที่การจ่ายเงินปันผลนั้นคาดการณ์ว่าจะดำเนินการในไตรมาส 4/2567