“ยูบีเอส” เชียร์ซื้อ GULF เป้า 58 บ. ชี้ 3 ปีกำไร 3 หมื่นล้าน การเงินแกร่ง D/E ต่ำ 1 เท่า

“ยูบีเอส” เชียร์ “ซื้อ” หุ้น GULF ประเมินราคาเป้าหมาย 58 บาท หลังควบรวม INTUCH หนุนการเงินแกร่งขึ้น-ภาระหนี้ลดลง พร้อมเพิ่มสัดส่วนถือหุ้น ADVANC ผลักดันกำไรและกระแสเงินสดเติบโตต่อเนื่อง เตรียมเดินหน้าลงทุนพลังงานสะอาด 5 ปี 90,000 ล้านบาท กำไรทะยานแตะ 32,700 ล้านบาท ภายในปี 70 ขณะที่ไตรมาสแรกปีนี้จ่อทำกำไรสุทธินิวไฮ 5,300 ล้านบาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาหุ้นบริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ปรับตัวขึ้นกว่า 7.26% ส่วนวันศุกร์วันนี้ 2 พ.ค. 68 ปิดที่ระดับ 48 บาท ส่วนมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยวันละ 12,000-15,000 ล้านบาท ถือเป็นการปรับตัวขึ้นมากกว่าดัชนีหุ้นไทย (SET) ที่เพิ่มขึ้นเพียงแค่ 4.54% โดยระยะสั้นนักลงทุนมีการเข้ามาเก็งกำไรตัวเลขงบไตรมาส 1/2568 ที่มีโอกาสออกมาสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่วนระยะยาวผลพวงของการควบรวมกิจการระหว่าง GULF และ INTUCH จะทำให้กระแสเงินสดเพิ่มขึ้น ขณะที่ต้นทุนภาระดอกเบี้ยลดลง ส่งผลให้ตัวเลขกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

โดยสอดคล้องกับบริษัทหลักทรัพย์ ยูบีเอส (ประเทศไทย) จำกัด หรือ UBS ระบุว่า หลังการควบรวมกับบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH เสร็จสิ้น เมื่อวันที่ 3 เม.ย.ที่ผ่านมา บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF มีฐานะทางการเงินแข็งแกร่งขึ้นมาก โดยอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนสุทธิ (Net D/E) ลดลงจาก 1.8 เท่า เหลือเพียงแค่ 0.8 เท่า

นอกจากนี้ GULF จะมีรายได้เพิ่มขึ้นปีละ 7,000-8,000 ล้านบาท และกำไรเพิ่มขึ้น 3,000-4,000 ล้านบาท จากการเพิ่มสัดส่วนถือหุ้นบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC จาก 19% เป็น 40% ส่งผลให้บริษัทมีต้นทุนการกู้ยืมที่แข่งขันได้มากสุดแห่งหนึ่งในภูมิภาค พร้อมโอกาสรีไฟแนนซ์และการลงทุนในอนาคต

โดย GULF มีความโดดเด่นด้านกระแสเงินสดและแนวโน้มการเติบโตต่อเนื่อง โดยสัดส่วน 90% ของรายได้จากธุรกิจไฟฟ้ามาจากสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแบบ Cost-Plus กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ทำให้กำไรจะเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 17% ช่วงปี 2567-2569

สู่วัฏจักรลงทุนรอบใหม่

ทั้งนี้ หลังควบรวม INTUCH และมีงบดุลแข็งแกร่ง ทำให้มองว่าช่วงระหว่าง 5-10 ปีข้างหน้าจะเป็นช่วงเติบโตของ GULF โดยประเมินว่า GULF จะใช้เงินลงทุน (CAPEX) ประมาณ 90,000 ล้านบาท ช่วง 5 ปีข้างหน้า มุ่งเน้นธุรกิจไฟฟ้าในประเทศไทย โดยเฉพาะพลังงานหมุนเวียนและก๊าซฯ และโครงการที่เกี่ยวข้อง แม้การวิเคราะห์ครั้งนี้ยังไม่ได้นำโอกาสลงทุนธุรกิจอื่น ๆ มาคำนวณ แต่เชื่อว่ามีความเป็นไปได้ที่ GULF จะมีมูลค่าเพิ่มในอนาคต

โดย UBS ให้คำแนะนำ “ซื้อ” หุ้น GULF ด้วยราคาเป้าหมาย 58 บาท โดยอิงค่า P/BV ล่วงหน้า 12 เดือนที่ 2.5 เท่า สะท้อน ROE ที่คาดว่าจะดีขึ้นเป็น 7.7% ภายใน 12 เดือนข้างหน้า ขณะเดียวกันค่า EV/EBITDA ปี 2568 อยู่ที่ 20.5 เท่า และ P/BV ที่ 2.1 เท่า ถือว่าสมเหตุสมผล จากประมาณการปี 2568 รายได้ 132,000 ล้านบาท กำไรสุทธิ 25,200 ล้านบาท, ปี 2569 รายได้ 133,000 ล้านบาท กำไรสุทธิ 29,400 ล้านบาท, ปี 2570 รายได้ 140,000 ล้านบาท กำไรสุทธิ 32,700 ล้านบาท

ขณะที่ ประมาณการอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (ดิวิเดนด์ยีลด์) ปี 2568 อยู่ที่ 1.7% (ปันผล 0.84 บาทต่อหุ้น), ปี 2569 อยู่ที่ 2% (ปันผล 0.98 บาทต่อหุ้น) และปี 2570 อยู่ที่ 2.2% (ปันผล 1.10 บาทต่อหุ้น)

ลุ้นกำไร Q1/68 ออลไทม์ไฮ

ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประมาณการผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2568 ของบริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ว่า GULF จะรายงานกำไรหลักสูงเป็นประวัติการณ์ จากกำไรสุทธิจะอยู่ที่ 5,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36% จากไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) และเพิ่มขึ้น 52% จากช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) ขณะที่กำไรปกติอยู่ที่ 5,100 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 8% QoQ และเพิ่มขึ้น 23% YoY (คิดเป็น 23% ของกำไรทั้งปี 2568)

สำหรับปัจจัยสนับสนุนผลประกอบการมาจากการรับรู้กำไรเต็มปีจากโครงการโรงไฟฟ้าใหม่ ได้แก่ โครงการกัลฟ์ ปลวกแดง ดีเวลลอปเมนท์ (Gulf Pluak Daeng Development : GPD) หน่วยที่ 3-4 ซึ่งเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือนมีนาคมและตุลาคม 2567 และโครงการหินกอง เพาเวอร์ (Hin Kong Power : HKP) หน่วยที่ 1-2 ซึ่งมีกำลังการผลิตรวม 754 เมกะวัตต์ และจากผลประกอบการบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด

Back to top button