
JMART โชว์กำไร Q1 แตะ 140 ล้านบาท รับดีมานด์สุกี้ตี๋น้อย- Lock Phone
JMART โชว์กำไรไตรมาส 1/68 ที่ 140 ล้านบาท รับแรงหนุนจากธุรกิจ "Lock Phone" และส่วนแบ่งลงทุน “สุกี้ตี๋น้อย” พร้อมเดินหน้าลดภาระตั้งสำรอง มั่นใจแนวโน้มฟื้นตัวชัดเจนครึ่งหลังปี 68
นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JMART บริษัท Holding Company ที่มุ่งเน้นในกลุ่มธุรกิจ Commerce Tech และ FinTech กล่าวว่า ภาพรวมไตรมาสแรกของปีนี้ยังเผชิญความท้าทายจากเศรษฐกิจโลก หนี้ครัวเรือนในระดับสูง และกำลังซื้อที่ชะลอตัว แต่บริษัทได้วางแนวทางแก้ไขปัญหา โดยธุรกิจที่สามารถสเกลได้ เช่น “Lock Phone” จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ พร้อมเดินหน้าสร้าง Synergy และเครือข่ายการขายภายใต้ความเสี่ยงที่บริหารได้ โดยประกาศผลประกอบการไตรมาส 1/2568 มีรายได้รวม 3,727 ล้านบาท เติบโต 2.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดยมีปัจจัยสนับสนุนยอดขายโทรศัพท์มือถือของ บริษัท เจมาร์ท โมบาย จำกัด ซึ่งมาจากการส่งเสริมยอดขายผ่านโครงการสินเชื่อมือถือ Lock Phone ภายใต้โครงการ Samsung Finance+ และ SG Finance+ รวมถึงมาตรการภาครัฐ Easy E-Receipt 2.0 ขณะที่ กำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นบริษัทอยู่ที่ 140.3 ล้านบาท เนื่องจากต้นทุนการดำเนินงานและค่าใช้จ่ายในการบริหารที่เพิ่มขึ้น ซึ่งบริษัทได้เริ่มปรับโครงสร้างต้นทุนและประสิทธิภาพการดำเนินงาน เพื่อรองรับผลกระทบและวางรากฐานสำหรับการเติบโตระยะยาว
สำหรับความแข็งแกร่งจากบริษัทที่เข้าไปลงทุน JMART ได้รับเงินปันผลจากการลงทุนในบริษัทร่วม สร้างกระแสเงินสดจากเงินปันผลรับราว 530 ล้านบาท จึงเตรียมจ่ายปันผลตอบแทนผู้ถือหุ้น และไฮไลท์จาก “สุกี้ตี๋น้อย” ให้ผลตอบแทนดีมาก ในไตรมาสแรกบริษัทมีกำไรสุทธิ 271 ล้านบาท และส่งกำไรให้ JMART ถึง 79 ล้านบาท จากการขยายสาขาและการตอบรับที่ดีของลูกค้า โดย ณ สิ้นเมษายน มี 85 สาขา
ขณะที่ บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER มีจุดเด่นในการเป็นบริษัทที่ไร้หนี้หุ้นกู้ ล่าสุดทำกำไรสุทธิส่วนของบริษัทใหญ่ 20 ล้านบาท จากนโยบายการปล่อยสินเชื่อเพื่อรักษาคุณภาพพอร์ต มุ่งเน้นธุรกิจ Lock Phone และเตรียมขยายพอร์ตสินค้ากลุ่มใหม่ ด้าน บริษัท เอสจี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ SGC มีกำไรสุทธิ 71.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 297.5% จากการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อ Lock Phone ที่มีอัตราผลตอบแทนสูง สามารถควบคุม NPL ณ สิ้นเมษายน ปล่อยสินเชื่อสะสมรวมอยู่ที่ 5,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นไฮไลท์ต่อเนื่องในปีนี้ หนุน SINGER และ SGC เติบโตอย่างน่าสนใจ
ส่วน บริษัท เคบี เจ แคปปิตอล จำกัด หรือ KBJ ผลงานเริ่มพลิกกลับมาทำกำไร ด้วยธุรกิจสินเชื่อ Samsung Finance+ พร้อมเดินหน้าร่วมมือกับพันธมิตรในเครือ เพื่อสร้างจุดขายร่วมอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ภายใต้ บริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) หรือ J ได้รับผลประกระทบจากต้นทุนดอกเบี้ยและภาษีชั่วคราวที่เพิ่มขึ้น แต่หลังจากปรับเกมธุรกิจ มั่นใจว่า ทิศทางจะดีขึ้นในช่วงหลังจากนี้ และสามารถพลิกกลับมาทำกำไรได้
ด้าน นายสุทธิรักษ์ ตรัยชิรอาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT เปิดเผยถึง ภาพรวมเศรษฐกิจที่ยังเปราะบางและภาระหนี้ครัวเรือนที่สูง อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2568 บริษัทยังรักษากำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 330 ล้านบาท และมีอัตรากำไรสุทธิในระดับแข็งแกร่งที่ 26.1% ด้าน รายได้รวมของบริษัทฯ ในไตรมาส 1 ปี 2568 อยู่ที่ 1,266.2 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทมียอดกระแสเงินสดจากจัดเก็บหนี้ (Cash Collection) กรณีรวมกระแสเงินสดที่จัดเก็บจาก บริษัทบริหารสินทรัพย์ เจเค (JK AMC) เท่ากับ 2,180 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ ภาพรวมไตรมาส 1 ปีนี้ JMT สามารถปิดดีลซื้อหนี้ไปแล้วเล็กน้อย หนุนพอร์ตหนี้ด้อยคุณภาพรวมอยู่ที่ 548,650 ล้านบาท อย่างไรก็ดี จากการจัดเก็บหนี้จากพอร์ตลูกหนี้ด้อยคุณภาพที่ปรับตัวลดลงในส่วนของบริษัท และส่งผลให้ JMT มีการตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิต (ECL) จำนวน 175.6 ล้านบาท เพื่อรองรับความเสี่ยงอย่างเหมาะสมและระมัดระวัง
“ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ในมุมมองของอุตสาหกรรมและการเติบโตในปีนี้ บริษัทฯ ประเมินว่า แนวโน้มไตรมาส 2 จะใกล้เคียงไตรมาส 1 และเริ่มกลับมาเติบโตในช่วงไตรมาส 3 และ ไตรมาส 4 สอดรับแนวทางการแก้ไข ECL ตามแผนที่วางไว้ รวมทั้ง สร้างความพร้อมรับโอกาสเติบโตในธุรกิจบริหารสินทรัพย์ รับเศรษฐกิจที่จะทยอยฟื้นตัวในอนาคต
ด้านโครงสร้างทางการเงิน JMT ยังคงมีฐานะมั่นคง โดยมีอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) เพียง 0.49 เท่า และมีการชำระหุ้นกู้ครบตามกำหนดแล้ว 3,000 ล้านบาท พร้อมเตรียมกระแสเงินสดรองรับการชำระหุ้นกู้อีก 3,375 ล้านบาท ในช่วงตุลาคมปีนี้” นายสุทธิรักษ์ กล่าวทิ้งท้าย