
“พิเชษฐ” แนะนักลงทุนยุคใหม่! วิเคราะห์ลึก-ถือยาวไม่พอ ต้องรู้จักพลิกเกมรับตลาดผันผวน
"พิเชษฐ สิทธิอำนวย" นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย (ASCO) ลั่นโลกการลงทุนยุคใหม่เปลี่ยนเร็ว นักลงทุนต้องปรับกลยุทธ์รับมือ ไม่ยึดติดแค่วิเคราะห์ลึกหรือถือยาว แนะเปิดมุมมองใหม่ มองรอบด้าน พร้อมรับความผันผวน เพื่อโอกาสสร้างผลตอบแทนระยะยาวอย่างยั่งยืน
นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย (ASCO) เปิดเผยบนเวทีเสวนาในงาน Thailand’s Capital Market Forum 2025 หัวข้อ “กี่โมง…หุ้นขึ้น” ซึ่งจัดโดยหนังสือพิมพ์ข่าวหุ้นธุรกิจ เมื่อวันนี้ ( 17 พ.ค.68) ว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาแม้นักลงทุนหน้าใหม่ยังเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แต่โครงสร้างของนักลงทุนเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในเรื่องของวิธีคิดและพฤติกรรมการลงทุนที่ต้องปรับให้เหมาะกับบริบัทใหม่ของตลาด
โดยในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาตลาดทุนได้เห็นการเข้ามาอย่างต่อเนื่องของ “นักลงทุนหน้าใหม่ๆ” ซึ่งทำให้ฐานนักลงทุนมีการเปลี่ยนแปลงไปจากอดีต โดยเฉพาะในรอบปีที่ผ่านมา หากย้อนกลับไปในอดีต นักลงทุนส่วนใหญ่มักเป็นผู้ที่มีอายุมากกว่าและพึ่งพาคำแนะนำแบบที่เรียกว่า “หุ้นผีบอก” หรือการลงทุนตามข่าวสารหรือคำบอกเล่าจากเพื่อน ซึ่งบางครั้งก็เป็นการบอกตอนที่เราควรจะซื้อในขณะที่คนบอกกำลังจะขาย
อย่างไรก็ตามวิวัฒนาการของนักลงทุนได้เปลี่ยนแปลงไปมากในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา ปัจจุบันมี “สเปคตรัม” หรือ ความหลากหลายของนักลงทุนมากขึ้นตั้งแต่ “รุ่นเด็กๆ” ที่เข้ามาศึกษาเรียนรู้ ไปจนถึงรุ่นใหญ่ และแต่ละเจน(generation) แต่ละกลุ่มก็มีวิธีคิดและวิธีการลงทุนที่แตกต่างกัน
แม้ในช่วงสองปีที่ผ่านมาจะมีนักลงทุนรุ่นใหม่เข้ามาในตลาดเรื่อย ๆ แต่สภาวะตลาดในช่วงดังกล่าว “ไม่เอื้อต่อการลงทุน” เหมือนในอดีต ซึ่งเป็นยุคที่สามารถลงทุนแล้วได้ผลตอบแทนที่ดีง่ายๆ เหมือนวลีที่กล่าวว่า “เหมือนปาลูกดอกตรงไหนก็ได้” นั้นได้หมดไปแล้วสภาพตลาดเช่นนี้ทำให้นักลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนรุ่นใหม่ที่เข้ามา ต้องปรับตามสภาพ
โดยการปรับตัวต้องครอบคลุมหลายด้าน อาทิ 1.การปรับวิธีคิด: นักลงทุนเองก็ ต้องปรับวิธีคิดว่าจะลงทุนกันอย่างไรในยุคนี้ ซึ่งหมายถึงการลงทุนที่ ไม่ใช่การซื้อขายตามข่าวหรืออารมณ์ (emotional)
2.การเพิ่มการวิเคราะห์: จำเป็นต้อง เพิ่มเรื่องของความคิดเรื่องการวิเคราะห์เข้าไปมากกว่าเดิมแหล่งข้อมูลหนึ่งชี้ว่า พฤติกรรมของนักลงทุนบางส่วนในช่วงที่ผ่านมาอาจจะลงทุนตามภาวะตลาดโดยที่ ไม่ได้วิเคราะห์เท่าที่ควร
3.การพัฒนาความรู้และวิธีการ: วิธีการลงทุนแบบเดิม ๆ อาจใช้ไม่ได้ผลแล้วนักลงทุนต้องพยายาม พัฒนาความรู้ความเข้าใจและวิธีการให้แตกต่างจากเดิม1 แหล่งข้อมูลแนะนำว่า แม้แต่นักลงทุนแบบ VI (Value Investor) ในสมัยนี้ก็น่าจะต้องปรับตัว โดยไม่ใช่แค่ถือยาวๆ อย่างเดียว แต่ต้องดูหลายๆ อย่าง
4.การประเมินตนเอง: นักลงทุนควรพิจารณาว่าตนเองเชี่ยวชาญการลงทุนแบบไหน หรือยัง ขาดทักษะการลงทุนแบบไหนเช่น บางคนที่เก่ง Fundamental อาจจะต้องเรียนรู้เรื่อง Technical ด้วย
5.การใช้โอกาสศึกษา: ช่วงนี้ที่การลงทุนอาจจะทำให้เจ็บตัวได้ (ถ้าลงทุนมากไป) ถือเป็น โอกาสที่ดีที่จะนำเวลาที่มีอยู่ไปศึกษาเพิ่มเติมมากขึ้น
6.การเข้าใจตำแหน่งของตนเองในตลาด: นักลงทุนควร เข้าใจว่าตนเองอยู่ในกลุ่ม (segment) ไหนของตลาดและไม่ควรพยายามไปแข่งขันกับทุกกลุ่ม หรือแข่งขันกับคอมพิวเตอร์ระดับโลก ควรเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับกลุ่มของตนเอง และอาจมองในช่วงเวลาที่ยาวกว่า
7.ระมัดระวังในการเข้าลงทุน การปรับพฤติกรรมการซื้อขายแม้บางส่วนอาจเน้น “Timing” หรือซื้อเมื่อราคาตกหนัก แต่การลงทุนในตลาดผันผวนนี้จำเป็นต้องใช้การวิเคราะห์อาจต้องพิจารณาใช้วิธีการทยอยซื้ออย่างระมัดระวัง แทนที่จะ “กระโจนเข้าไป” ซื้อทั้งหมดในครั้งเดียว
“การลงทุนยุคนี้ไม่ใช่เรื่องของโชค แต่คือเรื่องของการปรับตัว ความเข้าใจ และวินัย พร้อมแนะนำให้นักลงทุนใช้ช่วงเวลานี้ในการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม แทนที่จะลงทุนหนักแล้วเสี่ยงขาดทุน เพราะวิธีการแบบเดิมอาจไม่ใช้ได้ผลในสถานการณ์ปัจจุบัน” นายพิเชษฐ กล่าวเพิ่มเติม
นายพิเชษฐ กว่าวอีกว่า ในด้านบทบาทของตลาดหลักทรัพย์มองว่ามีเครื่องมือสนับสนุนนักลงทุนในระดับหนึ่ง และกำลังพยายามออกหลักเกณฑ์เพื่อเพิ่มความเท่าเทียมในการแข่งขัน โดยเฉพาะในยุคที่มีการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น การซื้อขายด้วยคอมพิวเตอร์อัลกอริทึม ที่นักลงทุนทั่วไปอาจสู้ความเร็วไม่ได้ จึงจำเป็นต้องเข้าใจว่าตนเองอยู่ในกลุ่มใดของตลาด และวางกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับบริบัทของตนเอง
ขณะเดียวกัน มีการสะท้อนปัญหาการเข้าถึงข้อมูลของบริษัทจดทะเบียน โดยชี้ว่าการวิเคราะห์บริษัทแต่ละแห่งมีต้นทุนประมาณ 100-200 บาทต่อบริษัท ทำให้โบรกเกอร์เองก็ประสบปัญหาในการครอบคลุมบริษัทขนาดกลางและเล็กจำนวนมาก ในขณะที่ตลาดไทยมีบริษัทศักยภาพมากถึง 600-700 แห่ง หากเลือกมาเพียง 10% ก็มีถึง 60 บริษัท ซึ่งสะท้อนว่าจักรวาลการลงทุน (Investment Universe) ยังมีพื้นที่ให้ขยายอีกมาก
นักลงทุนรายบุคคลจึงมีความได้เปรียบในแง่ของการเลือกบริษัทขนาดกลางที่มีคุณภาพดี แม้ยังไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้างหรือยังไม่มีการโปรโมทจากนักวิเคราะห์หรือโบรกเกอร์มากนัก ต่างจากกองทุนที่มักจำกัดการลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ที่มีสภาพคล่องสูง
ดังนั้นการมีช่องทางหรือโปรแกรมที่ช่วยให้คนภายนอกรู้จักบริษัทมากขึ้น เช่น การเปิดเผยข้อมูลภาษาอังกฤษในเว็บไซต์บริษัทหรือการนำเทคโนโลยีมาใช้แบบที่เกาหลีและญี่ปุ่นเคยทำ จะช่วยเพิ่มการเข้าถึงบริษัทที่มีศักยภาพในกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ๆ เช่น กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับ Data Center ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่ใช้พลังงานสูง และอาจขยายต่อไปยังธุรกิจต้นน้ำ-ปลายน้ำในห่วงโซ่เดียวกัน
“อีกทั้งมองว่าโอกาสในตลาดหุ้นไทยยังมีอยู่เสมอ พร้อมยกคำว่า “โค้ก” เป็นสัญลักษณ์ของโอกาสที่ยังมีอยู่ในตลาด โดยสะท้อนแนวคิดว่าแม้สถานการณ์จะเปลี่ยน แต่หากมองให้ลึก มองให้กว้าง โอกาสก็ยังคงมีอยู่เสมอ เพียงแต่ต้องค้นหาให้เจอ และเปิดใจให้กว้างกับหุ้นที่อาจยังไม่ถูกเปิดเผยอย่างทั่วถึงในตลาด” นายพิเชษฐ กล่าวทิ้งท้าย