บล.กรุงศรี ชี้โยกงบดิจิทัลวอลเล็ต 1.57 แสนลบ. หนุนกลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน-เทคโนโลยี

บล.กรุงศรีมองบวกตลาด หลังรัฐโยกงบ “ดิจิทัลวอลเล็ต” 1.57 แสนล้านบาท สู่โครงการลงทุน 4 ด้าน หนุนเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง ลุ้น GDP ปี 68 โตเกินคาด และเป็นบวกต่อหุ้นกลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยี และท่องเที่ยวเคลื่อนไหวเชิงบวก


บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุผ่านบทวิเคราะห์ว่า รัฐบาลมีมติโยกงบโครงการ “ดิจิทัลวอลเล็ต” มูลค่า 157,000 ล้านบาท สู่โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 4 ด้าน อาทิ 1.) โครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำ-คมนาคม, 2.) การท่องเที่ยว, 3.) การลดผลกระทบภาคส่งออก/เพิ่มผลิตภาพ และ 4.) เศรษฐกิจชุมชนและการศึกษา

ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง จะกำกับผ่านกลไกอนุกรรมการโดยต้องส่งข้อเสนอโครงการภายใน พฤษภาคม 2568 และอนุมัติในระดับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายใน กรกฎาคม 2568 เพื่อเริ่มเบิกจ่ายจริงในครึ่งปีหลัง 2568

โดยฝ่ายนักวิเคราะห์มีมุมมองว่า 1.) นโยบายนี้สะท้อนการปรับนโยบายการคลังเชิงโครงสร้างจาก “นโยบายแจกเงิน” เพื่อบริโภคสู่การปรับใช้ “นโยบายลงทุนจริง” เพื่อแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างเบื้องต้น นับเป็น Reallocation of Stimulus Capital” ที่ช่วยลดแรงกดดันการขาดดุลเชิงโครงสร้าง เช่น การบริโภคเทียมจากเงินแจก สู่การลงทุนที่สร้าง Productive Asset และ Multiplier Effect

2.) ฝ่ายนักวิเคราะห์คาดการณ์มี Impact ต่อ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross domestic product) ปี 2568 คาดการณ์จะเป็นแรงส่งเพื่อปิด Downside GDP สำหรับปี 2568 ไทยของ Consensus ที่วางกรอบหลังภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) 36% กรอบ 1.3%-1.8% ซึ่งฝ่ายนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า GDP มีโอกาสสูงราว 65% ที่จะมากกว่ากรอบนี้

ในขณะที่เม็ดเงินลงทุนจำนวน 157,000 ล้านบาท คิดเป็นประมาณ 0.8% ของ GDP นั้น มีแนวโน้มที่จะส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจมากกว่าการแจกเงินโดยตรง โดยเดิมการแจกเงินมีผลกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับประมาณ 0.3–0.5% ของ GDP แต่เมื่อปรับเปลี่ยนมาเป็นการใช้จ่ายในรูปแบบการลงทุน เช่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การส่งเสริมและปรับปรุงแหล่งท่องเที่ยว ตลอดจนการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต นอกจากนี้ การลงทุนในลักษณะดังกล่าวยังสามารถสร้างผลคูณทางเศรษฐกิจ (Multiplier Effect) ได้ในอัตราสูง ประมาณ 1.3–1.6 เท่า

นอกจากนี้ การลงทุนจะเป็นการกระจายตัวของโครงสร้างเข้าถึงเมืองรอง-ชุมชน ลดความเหลื่อมล้ำ, สนับสนุน GDP จากภายในประเทศกระจายตัวดีขึ้น

ทั้งนี้ ฝ่ายนักวิเคราะห์มองว่าเริ่มเบิกจ่ายจริงช่วงไตรมาส 3-4 ปี 2568 อีกทั้งจะสนับสนุน GDP ไตรมาส 4 รับผลเต็มไตรมาส ลดผลกระทบความเสี่ยงเศรษฐกิจปลายปีจาก External Factors ได้บางส่วน และคาดการณ์ว่า GDP ไทยปี 2568 มีโอกาสโตสูงขึ้นจากประมาณการเดิมที่ 1.3-1.8% สู่ 2%-2.5% หากบริหารจัดการการเบิกจ่ายได้ดีและมุ่งตรง

ส่วนกลยุทธ์การลงทุนฝ่ายนักวิเคราะห์เน้นธีม “ลงทุนผ่านรัฐ + เมืองรอง + Digital Infra + Soft Power Tourism” หุ้นเด่นแนะนำ คือ Cement-Asphalt รับความต้องการเร่งขึ้นครึ่งหลังปี 68 อาทิ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC แนวรับอยู่ในช่วง 158.00–165.25 บาท ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 175.00 บาท หากราคาหลุดต่ำกว่า 151.50 บาท แนะนำให้พิจารณาขายเพื่อตัดขาดทุน

บริษัท ทิปโก้แอสฟัลท์ จำกัด (มหาชน) หรือ TASCO ให้แนวรับ 14.60-14.90 บาท แนวต้าน 15.20-15.90 บาท หากราคาหลุดต่ำกว่า 14.40 บาท ให้พิจารณาขายเพื่อตัดขาดทุน

กลุ่มรับเหมาโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK ให้แนวรับ 14.20-14.60 บาท แนวต้าน 16.00-16.30 บาท ราคาหลุดต่ำกว่า 13.90 บาท ให้พิจารณาขายเพื่อตัดขาดทุนและ บริษัท สเตคอน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ STECON

กลุ่มท่องเที่ยวเมืองรอง บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW ให้แนวรับ 2.04 บาท แนวต้าน  2.24-2.40 บาท ราคาหลุดต่ำกว่า 1.98 บาท ให้พิจารณาขายเพื่อตัดขาดทุน

บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL ให้แนวรับ 20.70 บาท แนวต้าน 22.00 บาท ราคาหลุดต่ำกว่า 20.20 บาท ให้พิจารณาขายเพื่อตัดขาดทุน และ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ให้แนวรับ 34.60 บาท แนวต้าน 37.00-39.70 บาท ราคาหลุดต่ำกว่า 33.75 บาท ให้พิจารณาขายเพื่อตัดขาดทุน

กลุ่มเทคโนโลยี Digital Infra  อาทิ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC ให้แนวรับ 285.00- 295.00 บาท แนวต้าน 310.0 ราคาหลุดต่ำกว่า 280.00 บาท ให้พิจารณาขายเพื่อตัดขาดทุน

บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ให้แนวรับ 48.00 บาท แนวต้าน 51.00 บาท ราคาหลุดต่ำกว่า 47.25 บาท ให้พิจารณาขายเพื่อตัดขาดทุน และ บริษัท อินฟราเซท จำกัด (มหาชน) หรือ INSET ให้แนวรับ 1.70 บาท แนวต้าน 1.94 บาท ราคาหลุดต่ำกว่า 1.65 บาท ให้พิจารณาขายเพื่อตัดขาดทุน รวมไปถึงกลุ่มสินเชื่อชุมชน-SME อาทิ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC ให้แนวรับ 41.00 บาท แนวต้าน 45.00 บาท ราคาหลุดต่ำกว่า 39.50 ให้พิจารณาขายเพื่อตัดขาดทุน

Back to top button