
TEKA มั่นใจ Q2 ฟื้นตัว ทยอยรับรู้รายได้แบ็กล็อก 2.7 พันล้านบาท
TEKA ย้ำไตรมาส 1/68 ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว! มั่นใจไตรมาส 2/68 ฟื้นตัว ทยอยรับรู้รายได้แบ็กล็อก 2.7 พันล้านบาท พร้อมลุยขยายฐานลูกค้าใหม่ เจาะกลุ่มโรงเรียนนานาชาติ-โรงงานอุตสาหกรรม และโรงแรม ดันเป้ารายได้ปี 68 แตะ 1.9 พันล้านบาทตามแผน
นายสุพล จงจินตรักษา ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการเงิน บริษัท ฑีฆาก่อสร้าง จำกัด (มหาชน) หรือ TEKA เปิดเผยข้อมูลภาพรวมธุรกิจของบริษัทผ่านงาน Opportunity Day จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในวันที่ 21 พฤษภาคม 2568 ว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1 ปีนี้ชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีรายได้รวมราว 375 ล้านบาท ลดลงเกือบ 40% และมีกำไรสุทธิ 4 ล้านบาท ลดลงถึง 90% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดยปัจจัยหลักที่กระทบผลประกอบการมาจากช่วงรอยต่อของโครงการเดิมที่ทยอยส่งมอบกับโครงการใหม่ที่เพิ่งเริ่มก่อสร้างซึ่งอยู่ในช่วงเสาเข็มและฐานราก ทำให้ยังไม่สามารถรับรู้รายได้ในระดับสูงได้
นอกเหนือจากปัจจัยเฉพาะตัวแล้ว บริษัทยังได้รับผลกระทบทางอ้อมจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งยังมีความท้าทายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและประเด็นด้านภาษีที่อาจกระทบต่อ GDP และกำลังซื้อของประชาชน รวมถึงการชะลอตัวของการเปิดตัวโครงการใหม่จากกลุ่ม Developer ที่เป็นลูกค้าหลักของบริษัท
อย่างไรก็ตามบริษัทมั่นใจว่าไตรมาส 1 เป็น “จุดต่ำสุดของปี” และผลการดำเนินงานจะทยอยฟื้นตัวตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นไป จากการเริ่มรับรู้รายได้ของโครงการใหม่
โดยในปี 2568 TEKA ยังคงตั้งเป้าหมายการดำเนินธุรกิจในทิศทาง Conservative โดยมุ่งรักษาระดับรายได้ใกล้เคียงกับปี 2567 ที่ประมาณ 1,900 ล้านบาท หากเศรษฐกิจฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลัง อาจมีโอกาสเติบโตได้ประมาณ 4-5%
สำหรับเป้าหมายในการรับงานใหม่บริษัทวางไว้ที่ไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาทต่อปี โดยในไตรมาสแรกได้งานโครงการ SKV 51 จากกลุ่มแสนสิริ มูลค่า 355 ล้านบาท (ไม่รวม VAT) เข้ามาแล้ว ขณะนี้ยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างการประมูลเกือบ 20 โครงการ และคาดว่าจะได้รับงานเพิ่มเติมอีก 1-2 โครงการในระยะเวลาอันใกล้ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของ Backlog ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 2,700 ล้านบาท และทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป
บริษัทยังมุ่งรักษาอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ที่ระดับไม่ต่ำกว่า 10% แม้ไตรมาส 1 จะต่ำกว่ามาตรฐานดังกล่าว โดยวางกลยุทธ์รับมือกับสถานการณ์เศรษฐกิจผ่านการกระจายความเสี่ยง เช่น การขยายฐานลูกค้าไปยังภาคส่วนอื่นนอกเหนือจากกลุ่ม Developer อาทิ โรงเรียนนานาชาติ โรงงานอุตสาหกรรม และโรงแรม พร้อมควบคุมต้นทุนคงที่อย่างเข้มงวด และยังคงรักษาคุณภาพบุคลากรโดยไม่มีการเลิกจ้างแต่อย่างใด
ด้านฐานะทางการเงินบริษัทมีความแข็งแกร่งสูง โดยมีเงินสดในมือเกือบ 700 ล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ 30% ของสินทรัพย์รวม และไม่มีภาระหนี้สินทางการเงินใด ๆ ทั้งสิ้น ทำให้มีความคล่องตัวในการดำเนินโครงการใหม่และรองรับการลงทุนในอนาคตได้อย่างมั่นใจ
TEKA ยังเดินหน้าขับเคลื่อนองค์กรด้วยแนวทาง ESG โดยเริ่มนำหลักการด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล มาปรับใช้จริงในปีนี้ เช่น การจัดการขยะ การประหยัดน้ำ การใช้พลังงานสะอาด รวมถึงการติดตั้งระบบลดฝุ่นและเสียงในไซต์งานเพื่อดูแลชุมชนโดยรอบ ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังไม่มีการร้องเรียนจากพื้นที่ใกล้เคียงโครงการ
บริษัทมั่นใจว่าด้วยแผนธุรกิจที่รัดกุมและการวางเป้าหมายอย่างระมัดระวังจะช่วยให้ TEKA ฟื้นตัวได้ในครึ่งปีหลัง พร้อมเดินหน้าสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
“TEKA มั่นใจว่าผลการดำเนินงานจะเริ่มฟื้นตัวตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นไป จากการที่โครงการใหม่จะทยอยรับรู้รายได้มากขึ้นตามความก้าวหน้าของงานก่อสร้างโดยเฉพาะโครงการที่เริ่มดำเนินการในไตรมาสแรกที่ผ่านมาโดยคาดว่าไตรมาส 2, 3 และ 4 จะทยอยปรับตัวดีขึ้นและกลับเข้าสู่ระดับปกติ” นายสุพล กล่าวเพิ่มเติม
ส่วนความคืบหน้าที่กำลังก่อสร้างอยู่ประมาณ 7 โครงการ ได้แก่ 1.โครงการ SKV 51 (แสนสิริ): คอนโด High-rise 22 ชั้น มูลค่าประมาณ 380 ล้านบาท เริ่มก่อสร้างเดือนพฤษภาคมนี้ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 31 เดือน
2.โครงการ Reference เอกมัย คอนโด High-rise 44 ชั้น มูลค่าประมาณ 528 ล้านบาท เริ่มก่อสร้างตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา (ไตรมาส 1) ปัจจุบันอยู่ในช่วงการทำฐานราก
3.โครงการ เดอะ สแตนดาร์ด เรสซิเด้นซ์ หัวหิน มูลค่าโครงการเกือบ 640 ล้านบาท พื้นที่ 9 ไร่ 7 อาคาร ประมาณ 250 ยูนิต เริ่มก่อสร้างไปพอสมควร
4.โครงการ เวียสุขุมวิท 61 (แสนสิริ) คอนโด Low-rise 8 ชั้น มูลค่าประมาณ 260 ล้านบาท เริ่มก่อสร้างไปพอสมควร ทำฐานรากเสร็จแล้วกำลังจะขึ้นโครงสร้าง
5.โครงการ THE PANORA ESTUARIA มูลค่าประมาณ 728 ล้านบาท บริเวณสัตหีบ เป็นคอนโด Low-rise สูง 7 ชั้น 4 อาคาร เริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปีที่แล้ว โครงสร้างเกือบเสร็จแล้ว 3 อาคาร กำลังขึ้นโครงสร้างอาคารที่ 4 คาดว่าจะส่งมอบประมาณปลายปีนี้
6.โครงการ SHUSH Ratchathewi (ชูราชเทวี) มูลค่าโครงการ 1,098 ล้านบาท ประมาณ 383 ยูนิต สูง 32 ชั้น ก่อสร้างไปพอสมควร โครงสร้างอยู่ประมาณชั้น 11 ตั้งอยู่ใจกลางเมืองที่สี่แยกราชเทวี
7.โครงการ ไอดีโอ รามคำแหง: มูลค่าโครงการ 732 ล้านบาท คาดว่าจะส่งมอบภายในไตรมาส 2-3 ปีนี้ โครงสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว กำลังเก็บงานในห้องพักและทดสอบระบบพร้อมส่งมอบ