
IRPC เดินหน้า 2 กลยุทธ์หลัก-ตั้ง Crisis War Room รับมือเศรษฐกิจผันผวน
IRPC ตั้ง “Crisis War Room” รับมือเศรษฐกิจโลกผันผวน เร่งปรับกลยุทธ์ Core Up Lift – Step Up & Beyond เสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจหลัก
นายเทอดเกียรติ พร้อมมูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC เปิดเผยว่า ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์เศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศ บริษัทได้จัดตั้ง “Crisis War Room” เพื่อเฝ้าระวังและตอบสนองต่อภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนอย่างทันท่วงที พร้อมเดินหน้ากลยุทธ์เสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ ทั้งด้านการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การบริหารต้นทุน และการเตรียมความพร้อมสำหรับการลงทุนในอนาคต ผ่าน 2 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ Core Up Lift และ Step Up & Beyond
สำหรับกลยุทธ์ Core Up Lift มุ่งเสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจหลัก โดยมีแนวทางสำคัญ เช่น ความเป็นเลิศด้านการค้า การขยายผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีชนิดพิเศษ เช่น PP Phthalate Free สำหรับทางการแพทย์ และพลาสติก UHMWPE ที่ใช้ในชิ้นส่วนอุตสาหกรรม พร้อมขยายตลาดสู่ประเทศในอาเซียน นอกจากนี้ยังเน้นการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน การบริหารจัดการสินทรัพย์ และการยกระดับบริษัทในเครือเพื่อสร้างรายได้เพิ่มเติม
ขณะที่กลยุทธ์ Step Up & Beyond เป็นการต่อยอดความเชี่ยวชาญไปสู่ธุรกิจใหม่ โดยร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศในกลุ่มธุรกิจเมกะเทรนด์ เช่น ธุรกิจสีและสารเคลือบ ธุรกิจโรงพยาบาล และธุรกิจรีไซเคิล
สำหรับผลประกอบการไตรมาส 1/2568 IRPC มีรายได้จากการขายสุทธิ 62,224 ล้านบาท ลดลง 1% จากไตรมาสก่อน โดยมีสาเหตุหลักจากปริมาณการขายที่ลดลง 4% แม้ราคาขายเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้น 3% ตามทิศทางราคาน้ำมันดิบ ทั้งนี้ บริษัทมีกำไรขั้นต้นจากการผลิตตามราคาตลาด (Market GIM) อยู่ที่ 3,886 ล้านบาท หรือ 6.34 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ลดลง 31% จากไตรมาสก่อน
ด้านธุรกิจปิโตรเลียมได้รับผลกระทบจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่ลดลง ขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมีประสบปัญหาด้านปริมาณการขาย โดยเฉพาะกลุ่มโอเลฟินส์ที่ความต้องการยังไม่ฟื้นตัว สวนทางกับธุรกิจสาธารณูปโภคที่ยังมีผลการดำเนินงานทรงตัว
ทั้งนี้ บริษัทมีกำไรจากสินค้าคงเหลือสุทธิ (Net Inventory Gain) รวม 632 ล้านบาท และมีกำไรขั้นต้นทางบัญชี (Accounting GIM) ที่ 4,518 ล้านบาท หรือ 7.37 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ลดลง 28% ส่งผลให้ EBITDA ลดลงเหลือ 1,596 ล้านบาท ลดลง 50% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
อย่างไรก็ตาม แม้มีการลดต้นทุนทางการเงินและค่าเสื่อมราคา แต่บริษัทบันทึกขาดทุนจากการลงทุน 657 ล้านบาท ส่งผลให้ IRPC มีผลขาดทุนสุทธิในไตรมาส 1/68 จำนวน 1,206 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากไตรมาส 4/67
สำหรับแนวโน้มตลาดในปี 2568 ยังคงเผชิญแรงกดดันจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ การปรับเพิ่มกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปกพลัส และความไม่แน่นอนจากเศรษฐกิจจีน โดยเฉพาะในภาคอสังหาริมทรัพย์ อย่างไรก็ตาม บริษัทมองว่าความต้องการผลิตภัณฑ์บางชนิด เช่น ท่อ HDPE อาจฟื้นตัวได้ในไตรมาส 2 นี้ตามฤดูกาลก่อสร้างในเอเชีย