
“ทรัมป์” ขึ้นภาษีนำเข้า “เหล็ก-อะลูมิเนียม” เป็น 50% มีผล 4 มิ.ย.นี้
“ทรัมป์” ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าเหล็ก-อะลูมิเนียมจาก 25% เป็น 50% เริ่ม 4 มิ.ย. หวังหนุนอุตสาหกรรมในประเทศ ท่ามกลางความตึงเครียดการค้ากับจีน
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา ประกาศแผนการขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจาก 25% เป็น 50% ระหว่างการปราศรัยที่โรงงานของบริษัท ยูเอส สตีล (US Steel) ในเมืองมอน วัลเลย์ รัฐเพนซิลเวเนีย เมื่อวันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยมาตรการใหม่นี้จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 4 มิถุนายน 2568
ทรัมป์ ระบุว่า การขึ้นภาษีดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อรักษาความมั่นคงของอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศ และจะครอบคลุมถึงผลิตภัณฑ์อะลูมิเนียมด้วย โดยกล่าวย้ำว่า อุตสาหกรรมเหล็กเป็นรากฐานสำคัญของความมั่นคงของชาติ และมาตรการภาษีใหม่นี้จะเป็นกลไกในการปกป้องแรงงานและผู้ผลิตภายในประเทศ
นอกจากนี้ ทรัมป์ได้กล่าวชื่นชมข้อตกลงมูลค่า 1.49 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ระหว่างบริษัทนิปปอน สตีล (Nippon Steel) จากญี่ปุ่น และยูเอส สตีล โดยมองว่าเป็นการเคลื่อนไหวเชิงบวกที่จะช่วยรักษาตำแหน่งงานของแรงงานชาวอเมริกัน และส่งเสริมความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศ
ทั้งนี้ หุ้นของบริษัทคลีฟแลนด์-คลิฟส์ (Cleveland-Cliffs Inc) ผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ของสหรัฐฯ พุ่งขึ้นถึง 26% หลังตลาดปิดทำการ เนื่องจากนักลงทุนมองว่ามาตรการภาษีใหม่นี้จะส่งผลดีต่อผลประกอบการในอนาคตของบริษัท
อย่างไรก็ตาม นโยบายดังกล่าวมีขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากทรัมป์กล่าวหาจีนว่าละเมิดข้อตกลงที่เคยให้ไว้กับสหรัฐฯ เกี่ยวกับการลดภาษีและข้อจำกัดทางการค้าสำหรับแร่ธาตุสำคัญ ซึ่งอาจยิ่งเพิ่มระดับความตึงเครียดในความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสองประเทศ
รายงานจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ระบุว่า สหรัฐฯ เป็นผู้นำเข้าเหล็กรายใหญ่ที่สุดของโลก (ไม่รวมสหภาพยุโรป) โดยในปี 2567 มีปริมาณนำเข้าเหล็กสูงถึง 26.2 ล้านตัน ซึ่งหมายความว่ามาตรการภาษีใหม่นี้อาจส่งผลกระทบในวงกว้างต่อทั้งราคาในตลาดเหล็ก และต้นทุนของภาคอุตสาหกรรมและผู้บริโภคภายในประเทศ