SET สัปดาห์นี้ “ฟื้นตัว” จับตาประชุม ECB-เงินเฟ้อไทย ชู GULF-ADVANC-CPALL หุ้นเด่น

บล.กรุงศรี คาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ "ฟื้นตัว" หลังปัจจัยกดดันภายในคลี่คลาย จับตาประชุม ECB-เงินเฟ้อไทยหนุน กนง. ลดดอกเบี้ยต่อ แนะเก็บหุ้นพื้นฐานแกร่ง GULF-ADVANC-CPALL รับดอกเบี้ยขาลง


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” รายงานกลยุทธ์การลงทุนประจำสัปดาห์ (4-6 มิ.ย. 2568) จากบทวิเคราะห์โดยบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) หรือ KSS ซึ่งประเมินว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้ม “ฟื้นตัว” หลังผ่านพ้นความผันผวนจากปัจจัยภายในประเทศ อาทิ การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2569 และการปรับน้ำหนักการลงทุนตามดัชนี MSCI ที่กดดันแรงขายในช่วงปลายเดือนที่ผ่านมา

โดยในสัปดาห์นี้ ปัจจัยภายนอกสำคัญที่ต้องติดตามได้แก่ การประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในวันที่ 5 มิ.ย. ซึ่งตลาดคาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ระดับ 2.0% รวมถึงการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ เดือนพฤษภาคมในวันที่ 6 มิ.ย. ซึ่งตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 130,000 ตำแหน่ง และอัตราการว่างงานยังคงที่ที่ 4.2%

ด้านปัจจัยในประเทศให้ความสนใจการประกาศอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนพฤษภาคมในวันที่ 5 มิ.ย. ซึ่งตลาดคาดว่าจะหดตัวที่ -0.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เร่งขึ้นจาก -0.22% ในเดือนเมษายน โดยตัวเลขเงินเฟ้อที่ติดลบต่อเนื่องอาจหนุนให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) พิจารณาลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในช่วงที่เหลือของปีนี้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

จากภาพรวมดังกล่าว กลยุทธ์การลงทุนแนะนำเน้นหุ้นพื้นฐานแกร่งที่ผ่านแรงขายจาก MSCI ไปแล้ว และมีแนวโน้มได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง เช่น กลุ่มการเงิน กลุ่มโรงไฟฟ้า และกลุ่มที่มีภาระหนี้สูง

หุ้นเด่นประจำสัปดาห์นี้ ได้แก่

GULF (เป้าหมาย 56.5 บาท) อัตราผลตอบแทนพันธบัตรมีแนวโน้มอ่อนตัวต่อ + เงินบาทแข็งค่าหนุนกำไร

ADVANC (เป้าหมาย 340 บาท) ราคาปรับลงจากข่าวลบไปมาก + แนวโน้มกำไรเติบโตต่อเนื่อง 2–3 ปี + ได้อานิสงส์ดอกเบี้ยขาลง

CPALL (เป้าหมาย 80 บาท) รับข่าวลบไปแล้วบางส่วน + โครงการซื้อหุ้นคืนช่วยลดความเสี่ยง + ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง

สำหรับธีมการลงทุนระยะสั้นไตรมาส 2/68 แนะนำหุ้นขนาดใหญ่  BDMS, CPALL, MINT, KBANK, MTC, LH, ADVANC และหุ้นขนาดกลาง-เล็กที่มีโอกาส ได้แก่  BCH, BTS, JMT, ERW, AMATA

ด้านเงินทุนเคลื่อนย้าย พบว่าสัปดาห์ก่อนนักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิหุ้นไทยกว่า 137.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และพันธบัตรอีก 143.9 ล้านดอลลาร์ ส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ระดับ 33.53 บาทต่อดอลลาร์

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ยังคงประมาณการกำไรต่อหุ้น (EPS) ของตลาดหุ้นไทยปี 2568 ที่ระดับ 90.31 บาทต่อหุ้น โดยกลุ่มที่เป็นแรงกดดันได้แก่ ปิโตรเคมีและเกษตร ขณะที่กลุ่มรับเหมาและอาหารยังช่วยพยุงภาพรวมกำไร

Back to top button