โบรกคัด 4 หุ้นเด่นรับ “นักท่องเที่ยว” ไหลเข้าไทยปีนี้ 35 ล้านคน ชู MINT ท็อปพิก!

บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) คาดยอดนักท่องเที่ยวเข้าไทยปี 68 แตะ 35 ล้านคน รับมาตรการกระตุ้นฟรีวีซ่า, Wellness Tourism และเที่ยวไทยคนละครึ่งเริ่มใช้สิทธิ 1 ก.ค.นี้ โบรกแนะนำ “ซื้อ” CENTEL-ERW-SPA ชู MINT ท็อปพิกของกลุ่มให้ราคาเป้าหมาย 34 บาท


ผู้สื่อข่าวรายงานอ้างอิงบทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า จากสถิติการเดินทางไปต่างประเทศของชาวจีนที่ผ่านมาช่วงเดือน มกราคม-มีนาคม 2568 ชาวจีนเดินทางไป เวียดนาม และ ญี่ปุ่น มากขึ้น ขณะที่ เดินทางเข้ามาเที่ยวไทยน้อยลง

ทั้งนี้ คาดการณ์เป็นผลมาจากปัจจัยลบในเรื่องภาพลักษณ์ความไม่ปลอดภัยของไทย ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์การลักพาตัวชาวจีน การแก้ปัญหาแก๊งคอลเซนเตอร์ต่างชาติ การส่งตัวชาวอุหยกูร์กลับจีน การก่อวินาศกรรมในสุไหงโกลกและเหตุแผ่นดินไหว ส่งผลให้กระทบ Sentiment นักท่องเที่ยวจีนหายไป นอกจากนี้ ในปัจจุบันชาวจีนนิยมท่องเที่ยวในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญจากการกระตุ้นการท่องเที่ยวของรัฐบาลจีนอย่างเข้มข้น

ขณะที่ รายงานข่าวจาก สำนักข่าวซินหัว เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2568 นายหลินเจี้ยน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน กล่าวในการแถลงข่าวว่า จีนเตรียมออก “วีซ่าอาเซียน” ให้กับ 10 ประเทศสมาชิกอาเซียนและติมอร์-เลสเต ซึ่งมีสถานะเป็นประเทศผู้สังเกตการณ์อาเซียน

นายหลิน กล่าวว่า จีนจะออกวีซ่าอาเซียนให้กับบุคลากรทางธุรกิจที่มีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดจาก 11 ประเทศข้างต้น ซึ่งจะเอื้อให้สามารถเดินทางเข้าจีนได้หลายครั้งภายใน 5 ปี และพำนักได้ไม่เกิน 180 วัน สำหรับการออกวีซ่าอาเซียนครั้งนี้ สานต่อจากข้อตกลงยกเว้นวีซ่าร่วมกันอย่างครอบคลุมกับ สิงคโปร์ ไทย มาเลเซีย และประเทศอื่นๆ

รวมถึงสานต่อจากการออก “วีซ่าล้านช้าง-แม่โขง” ให้กับประเทศแถบลุ่มแม่น้ำโขง โดยมุ่งอำนวยความสะดวกการเดินทางข้ามพรมแดนของผู้คนภายในภูมิภาคมากขึ้น สำหรับทางฝ่ายนักวิเคราะห์มองเป็น Sentiment เชิงบวกต่อ “หุ้นกลุ่มท่องเที่ยว” รับปัจจัยจากการเดินทางที่สะดวกมากขึ้น

ส่วนวันที่ 2 มิถุนายน ที่ผ่านมา บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ S&P Global Ratings (S&P) รายงานการวิเคราะห์อันดับความน่าเชื่อถือของไทย โดยคงอันดับความน่าเชื่อถือ (Sovereign Credit Rating) ที่ระดับ BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือ (Outlook) ที่ระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook)

ส่วนหนึ่งสนับสนุนจากมุมมองเชิงบวกภาคการท่องเที่ยว โดยคาดการณ์ว่าจะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง และเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วง 2 ปีข้างหน้า สนับสนุนจากมาตรการสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวที่ภาครัฐกำลังดำเนินการอยู่ เช่น การขยายเวลาการให้สิทธิยกเว้นการตรวจลงตรา จะยังคงช่วยสนับสนุนจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยให้แข็งแกร่งในช่วงไตรมาสถัดไป

อีกทั้ง นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เผยว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างนำ โครงการเที่ยวไทยคนละครึ่งเข้าสู่ที่ประชุม คณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยคาดการณ์เริ่มใช้สิทธิได้นับตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 สำหรับเงื่อนไขการใช้สิทธิของโครงการดังกล่าวมีการปรับเปลี่ยนในเรื่องสำคัญ ดังนี้

1.) ปรับลดงบประมาณลงเหลือเพียง 1,780 ล้านบาท (จากเดิม 3,500 ล้านบาท) เนื่องจากจะต้องเกลี่ยไปใช้กับโครงการกระตุ้นตลาดต่างประเทศด้วย ดังนั้น ส่งผลให้ต้องลดจำนวนสิทธิตามมา โดยเดิมกำหนดจำนวนสิทธิทั้งหมดไว้ที่ 1,000,000 สิทธิ ลดลงเหลือเพียง 500,000 สิทธิ, 2.) กำหนดจานวนสิทธิให้ใช้ได้สูงสุด 5 สิทธิ (หรือคืน) ต่อคน

3.) ใช้สิทธิใน “เมืองหลัก” ได้จานวน 3 สิทธิ และ “เมืองรอง” ได้จานวน 2 สิทธิ และ 4.) หากใช้สิทธิใน “วันธรรมดา” (จันทร์-ศุกร์) รัฐบาลช่วยจ่าย 50% ประชาชนจ่ายเอง 50% และหากใช้สิทธิใน “วันหยุด” (วันหยุดเสาร์-อาทิตย์ และวันนักขัตฤกษ์) รัฐบาลช่วยจ่าย 40% ประชาชนจ่ายเอง 60%

ทางฝ่ายนักวิเคราะห์คาดการณ์หุ้นรับประโยชน์จากโครงการดังกล่าวช่วงไตรมาส 3/68 ซึ่งเรียงตามลำดับ ดังนี้ 1.) บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW (สัดส่วนรายได้จากไทยราว 88% ของรายได้ธุรกิจโรงแรม), 2.) บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL (สัดส่วนรายได้จากไทยราว 80% ของรายได้ธุรกิจโรงแรม และ 3.) บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT (สัดส่วนรายได้จากไทยราว 15% ของรายได้ธุรกิจโรงแรม)

โดยทางฝ่ายนักวิเคราะห์คาดการณ์ครึ่งหลังปี 2568 อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย จะกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นตอบรับปัจจัยหนุนจาก 1.) โครงการฟรีวีซ่า 2.) การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism)

3.) การขยายตัวของธุรกิจ MICE (Meetings, Incentive Travel, Conventions, Exhibitions) รับแรงหนุนจากการที่บริษัทต่างชาติกลับมาจัดงานสัมมนาและอีเวนต์ในประเทศไทยมากขึ้น และ 4.) โครงการเที่ยวไทยคนละครึ่งที่คาดว่าสามารถใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 68 เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในช่วงโลว์ซีซั่น

อย่างไรก็ตาม มองว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยยังคงมีปัจจัยกังวลจากแนวโน้มการแข่งขันในตลาดท่องเที่ยวรุนแรงขึ้น ตามความต้องการขายห้องพักของผู้ประกอบการมีเพิ่มขึ้น รวมถึงแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนตลอดจนประเด็นความไม่ปลอดภัยเรื่องการเที่ยวในไทย

สำหรับจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาในไทยในปี 2568 ทางฝ่ายนักวิเคราะห์คาดการณ์อยู่ที่ราว 35 ล้านคน ซึ่งเป็นตัวเลขที่ยังไม่ Cover จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีก่อนการระบาดของไวรัส COVID-19

สำหรับภาพระยะสั้นมองว่าควร “เก็งกำไร” จากหุ้นที่ไม่พึ่งพานักท่องเที่ยวจีน โดยแนะนำ “ซื้อ” หุ้น MINT เป็น Top Pick ของกลุ่ม ให้ราคาพื้นฐาน 34.00 บาท สนับสนุนจากเติบโตของรายได้โรงแรมในยุโรปเป็นหลัก (สัดส่วน 56% ของรายได้รวม) จากตัวเลขรายได้เฉลี่ยต่อห้องพักต่อคืน (RevPar) ในเดือนเมษายน เติบโต Low single digit และเดือนพฤษภาคม เติบโต Mid single digit

สนับสนุนจากช่วง High season ของยุโรป และแนวโน้มของอัตราการจองห้องพักที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งคาดการณ์รายได้โรงแรมในยุโรป ยังคงเติบโตต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 2/2568 ไปจนถึงไตรมาส 3/2568 จากปัจจัยฤดูกาล

สำหรับกำไรสุทธิปี 2568 คาดการณ์อยู่ที่ 10,435 ล้านบาท เติบโต 21.32% จากปีก่อนหน้า เป็นผลของรายได้โรงแรมที่คาดการณ์เพิ่มขึ้นราว Single digit หนุนจากการดำเนินกิจการผ่านโมเดลธุรกิจที่ลดการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร (Asset Light Model) หรือการเข้ารับบริหารโรงแรมให้กับเจ้าของโรงแรมเพิ่มขึ้น และการ Renovate ห้องพัก

นอกจากนี้ ทางฝ่ายนักวิเคราะห์ยังแนะนำ “ซื้อ” หุ้น CENTEL ให้ราคาเป้าหมาย 37.75 บาท, ERW ราคาเป้าหมาย 3.20 บาท และ บริษัท สยามเวลเนสกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ SPA ราคาเป้าหมาย 6.40 บาท

Back to top button