DUSIT ปักหมุดรายได้ปีนี้โต 25% จ่อรับโอน “ดุสิตเรสซิเดนซ์” 1.6 หมื่นลบ. พร้อมลดหนี้ทันที

DUSIT เผยแผน 9 ปีเข้าสู่ช่วง “ปลดล็อกมูลค่า” คาดปีนี้กลับมาเทิร์นอะราวด์ พร้อมตั้งเป้ารายได้เติบโต 20-25% เตรียมรับรู้รายได้การโอนโครงการ "Dusit Residences-Dusit Parkside" ราว 1.6 หมื่นล้านบาท พร้อมบริษัทมีแผนทยอยลดหนี้อย่างต่อเนื่อง


นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT เปิดเผยว่า ความสำเร็จแผน 9 ปี หลังจากเดินทางสู่ช่วงปลายของแผนระยะที่ 3 ช่วงเก็บเกี่ยวการเติบโต Unlock Value (2566-2568) ที่พร้อมเก็บเกี่ยวการเติบโตจากการลงทุนและการขยายธุรกิจในช่วงก่อนหน้านี้

ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าในปี 2568 จะสามารถกลับมาเทิร์นอะราวด์ โดยตั้งเป้ารายได้ปีนี้อยู่ที่ 9,000 ล้านบาท เติบโต 20-25% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่มาจากธุรกิจโรงแรม คาดว่าจะเติบโต 20-25% และธุรกิจอาหาร 10-15% และธุรกิจการศึกษา 10-12% และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มากกว่า 100% (ไม่รวม Bare Shell)

ในปัจจุบัน โครงการที่พักอาศัยภายใต้แบรนด์ “Dusit Residences” และ “Dusit Parkside” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” มียอดขายรวมแล้วกว่า 90% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 16,000 ล้านบาท โดยคาดว่าจะเริ่มทยอยโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ผู้ซื้อได้ตั้งแต่ ปลายปี 2568 และจะส่งผลให้มีการรับรู้รายได้อย่างมีนัยสำคัญในปี 2569 ย้ำหลังจากเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ บริษัทจะสามารถลดภาระ ดอกเบี้ยจ่าย ได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจะช่วยเสริมสภาพคล่องทางการเงินของโครงการในระยะถัดไป และบริษัทมีแผนทยอยลดหนี้อย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มจากการโอนกรรมสิทธิ์บางส่วนภายในปีนี้ และเร่งดำเนินการให้เกิดการโอนในสัดส่วนที่มากขึ้นภายในปี 2569 เพื่อใช้รายได้ที่เกิดขึ้นในการชำระคืนเงินกู้กับสถาบันการเงิน

บริษัทมั่นใจว่า รายได้จากโครงการดังกล่าวจะเป็นหนึ่งในกลไกหลักในการปลดล็อกมูลค่า (Unlock Value) ของกลุ่มดุสิตธานีอย่างเต็มรูปแบบ พร้อมทั้งเสริมสภาพคล่องและลดภาระหนี้สิน ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

โดยหนึ่งในความสำเร็จที่เห็นได้ชัดคือ การขยายตัวของธุรกิจโรงแรม จากเดิมที่มีโรงแรมเพียง 27 แห่งใน 8 ประเทศ ปัจจุบัน ณ ไตรมาส 1 ปี 2568 กลุ่มดุสิตธานีมีโรงแรมและวิลล่าภายใต้การบริหารจัดการรวม 294 แห่ง ครอบคลุม 18 ประเทศทั่วโลก คิดเป็นจำนวนห้องพักรวม 12,909 ห้อง แบ่งเป็นโรงแรม 55 แห่ง และวิลล่าหรูอีก 239 แห่ง และในปี 2568 กลุ่มบริษัทจะเริ่มรับรู้รายได้เต็มปีจากโรงแรม “ดุสิตธานี กรุงเทพฯ” ซึ่งเพิ่งกลับมาเปิดให้บริการเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2567

นอกจากนี้ กลุ่มดุสิตธานียังได้ขยายการลงทุนในธุรกิจอาหารผ่านบริษัท ดุสิต ฟู้ดส์ จำกัด ซึ่งปัจจุบันได้ลงทุนในบริษัท เอ็บเพอคิวร์ เคเทอริ่ง จำกัด ผู้นำธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มที่ให้บริการกับโรงเรียนนานาชาติในประเทศไทย, บริษัท เดอะ เคเทอเรอร์ส จอยท์ สต็อก จำกัด (The Caterers Joint Stock) หรือ เดอะ เคเทอเรอร์ส (The Caterers) ผู้ให้บริการด้านการจัดเลี้ยงสำหรับโรงเรียน และงานเลี้ยงรับรองนอกสถานที่ในประเทศเวียดนาม, และบริษัท ของชู เบเกอรี่ เอเชีย จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าของแฟรนไชส์ขนมเบเกอรี่ “ของชู” (BONIOUR) ที่มีสาขารวมทั้งสิ้น 99 แห่ง ครอบคลุมประเทศไทย จีน และเวียดนาม รวมถึงมีโรงงานผลิตเบเกอรี่ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด จังหวัดระยอง ขณะนี้ บริษัทอยู่ระหว่างขั้นตอนการเตรียมความพร้อมเพื่อนำธุรกิจอาหารเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

สำหรับภายหลังจากการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัท เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2568 ซึ่งที่ประชุมยังไม่อนุมัติงบการเงินประจำปี 2567 และยังไม่ได้พิจารณาวาระการแต่งตั้งผู้สอบบัญชีประจำปี 2568 ส่งผลให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการนำส่งงบการเงินไตรมาส 1/2568 ที่มีกำหนดภายในวันที่ 15 พฤษภาคม 2568

อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการและคณะผู้บริหารของบริษัทฯ ได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างเต็มที่ โดยมีการหารือกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอย่างใกล้ชิดหลายครั้ง จนสามารถจัดทำงบการเงินไตรมาส 1/2568 ที่ผ่านการสอบทานแล้วเสร็จ และนำส่งได้ภายในกำหนดเวลา ทำให้หุ้นของบริษัทฯ ไม่ถูกขึ้นเครื่องหมาย “SP” (Suspension) ซึ่งหมายถึงการหยุดซื้อขายชั่วคราว ต่อมาในการประชุมผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ผู้ถือหุ้นได้มีมติอนุมัติแต่งตั้งผู้สอบบัญชีรับอนุญาตประจำปี 2568 เป็นที่เรียบร้อย

โดยการจัดทำและอนุมัติงบการเงินของกลุ่มดุสิตธานีมีความถูกต้อง โปร่งใส และตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน ซึ่งผู้สอบบัญชีได้ลงนามรับรองงบการเงินโดยไม่มีเงื่อนไข นอกจากนี้ การสามารถนำส่งงบการเงินได้ทันเวลา และการแต่งตั้งผู้สอบบัญชีอย่างเป็นทางการ ยังช่วยฟื้นความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนและหน่วยงานจัดอันดับความน่าเชื่อถือ

Back to top button