
“ศึกอิสราเอล–อิหร่าน” จ่อเขย่าเศรษฐกิจโลก สหรัฐฯ ยังเป็นตัวแปรหลัก
BCA research เผยสงคราม “อิสราเอล–อิหร่าน” เสี่ยงยกระดับช็อคน้ำมันโลก ขณะที่สหรัฐฯ ยังสนับสนุนอิสราเอลเต็มที่ จับตาอิหร่านตอบโต้แหล่งพลังงาน กระทบอุปทานน้ำมันโลกและตลาดการเงิน
BCA research ระบุว่า แนวโน้มความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านยังคงดำเนินต่อไป โดยมีความเป็นไปได้ที่จะยกระดับความรุนแรงในอนาคต อิสราเอลไม่เพียงแต่โจมตีโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านเท่านั้น แต่ยังพุ่งเป้าไปที่โครงสร้างของระบอบการปกครองด้วย
แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะเป็นประเทศเดียวที่มีอิทธิพลเพียงพอในการยับยั้งอิสราเอล แต่ในขณะนี้ยังคงให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง หากอิหร่านต้องการให้สหรัฐฯ เข้ามาแทรกแซงเพื่อลดแรงกดดันจากอิสราเอล อิหร่านอาจใช้ยุทธศาสตร์โจมตีแหล่งพลังงานสำคัญในภูมิภาค เพื่อกระตุ้นให้เกิดแรงกดดันทางเศรษฐกิจต่อชาติตะวันตก
การประเมินโอกาสของแต่ละสถานการณ์
โอกาสที่สถานการณ์จะยกระดับ (Escalation): 45%
โดยอิสราเอลอาจเดินหน้าโจมตีต่อเนื่อง ทั้งเพื่อทำลายศักยภาพโครงการนิวเคลียร์และล้มล้างระบอบปกครองของอิหร่าน
โอกาสที่สหรัฐฯ จะเข้ายับยั้งอิสราเอล: 30%
แม้สหรัฐฯ ไม่ต้องการเห็นการล้มระบอบอิหร่าน เพราะอาจนำไปสู่ปัญหาเชิงภูมิรัฐศาสตร์ แต่ก็ยังไม่แสดงท่าทีที่ชัดเจน
โอกาสที่สหรัฐฯ จะเข้าแทรกแซงโดยตรงต่ออิหร่าน: 25%
กรณีนี้มีความเป็นไปได้หากอิหร่านตอบโต้ในระดับที่กระทบต่อผลประโยชน์ของสหรัฐฯ
ผลกระทบต่อพลังงานและเศรษฐกิจโลก
มีโอกาสเกิดช็อกน้ำมันระดับรุนแรง: 55% หากอิหร่านโจมตีแหล่งพลังงานสำคัญในภูมิภาค อาจทำให้ปริมาณอุปทานน้ำมันหายไปมากกว่า 10 ล้านบาร์เรลต่อวัน ส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้น 50–100% ภายในระยะเวลา 6 เดือน
โอกาสเกิดช็อกน้ำมันระดับจำกัด: 45% ในกรณีที่สถานการณ์ไม่ยกระดับรุนแรง ผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันอาจอยู่ในวงจำกัด
ด้านอิหร่านมีแนวโน้มที่จะใช้กลยุทธ์ตอบโต้ทั้งต่ออิสราเอลและแหล่งพลังงานในภูมิภาค เพื่อกดดันให้สหรัฐฯ เข้ามายับยั้งการโจมตี หากสหรัฐฯ ตัดสินใจแทรกแซงโดยตรง อิหร่านอาจใช้นโยบายสร้างความผันผวนทางเศรษฐกิจโลก เพื่อลดแรงจูงใจของการแทรกแซงต่อไป
สำหรับความขัดแย้งครั้งนี้ตอกย้ำบทบาทของสหรัฐฯ ในฐานะผู้นำเวทีโลก โดยไม่มีประเทศอื่น เช่น จีนหรือรัสเซีย ที่สามารถเข้ามาช่วยเหลืออิหร่านได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้จะเกิดภาวะช็อกน้ำมันขึ้น แต่สหรัฐฯ ยังมีความสามารถในการปรับตัวได้ดีกว่าประเทศอื่น เช่น ยุโรปหรือจีน เนื่องจากเศรษฐกิจของสหรัฐฯ พึ่งพาพลังงานภายในประเทศมากกว่า อย่างไรก็ตาม หากราคาน้ำมันที่พุ่งสูงนำไปสู่ภาวะถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจส่งผลต่อทิศทางการเมืองและนโยบายเศรษฐกิจภายในประเทศ
โดยภายใต้ความน่าจะเป็นที่ช็อกน้ำมันขนาดใหญ่จะเกิดขึ้นในระดับ 55% และช็อกขนาดเล็กที่ 45% นักลงทุนควรระมัดระวังความผันผวนในตลาดทุน ตลาดหุ้นทั่วโลกเผชิญความเสี่ยงหากสถานการณ์ยกระดับ ราคาหุ้นมีแนวโน้มปรับตัวลดลง ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอาจเกิดความผันผวนตามทิศทางราคาน้ำมันและการตอบสนองทางนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯ
บทสรุป
ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่านยังคงมีแนวโน้มยกระดับ และอาจส่งผลกระทบเชิงลึกต่อเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะในภาคพลังงานและตลาดการเงิน สหรัฐอเมริกายังคงเป็นตัวแปรสำคัญที่กำหนดทิศทางของสงครามและผลสะเทือนทางเศรษฐกิจในอนาคต