“พบชัย” ชี้ SET ไซด์เวย์ แนะสะสมกลุ่มแบงก์-เก็งกำไร 4 หุ้นเด่น

นายพบชัย ภัทราวิชญ์ ประเมิน SET มีแนวโน้มแกว่งตัว ท่ามกลางความกังวลเศรษฐกิจโลก-การเมืองในประเทศ แนะรอจังหวะสะสมหุ้นแบงก์ ส่วนหุ้นเด่นแนะเก็งกำไร ADVANC–BCH–BDMS-TIDLOR


นายพบชัย ภัทราวิชญ์ นักกลยุทธ์ตลาดหุ้น ตลาดอนุพันธ์ และสินทรัพย์ดิจิทัล บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (มหาชน) ในกลุ่ม SCBX เปิดเผยผ่าน “ข่าวหุ้นเจาะตลาด” ว่าภาพรวมตลาดหุ้นไทยในช่วงเปิดสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นวันทำการวันแรก ยังมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในลักษณะแกว่งตัวและพักฐานใกล้แนวต้านเดิมบริเวณ 1,130 จุด หลังจากที่ตลาดปรับตัวขึ้นมาได้ดีต่อเนื่องตลอด 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแนวดังกล่าวเคยถูกทดสอบแล้วแต่ยังไม่สามารถผ่านไปได้

โดยตลาดกำลังเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงหลายด้าน โดยเฉพาะใน 3 ประเด็นหลักที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่ ความเคลื่อนไหวด้านภาษีจากสหรัฐอเมริกา ผลประกอบการกลุ่มธนาคารพาณิชย์ และสถานการณ์การเมืองในประเทศ

ประเด็นแรก คือ มาตรการด้านภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งประกาศเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาว่าจะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากแคนาดาในอัตรา 35% สหภาพยุโรป (EU) และเม็กซิโกในอัตรา 30% ส่งผลให้ตลาดกังวลถึงแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกอีกครั้ง นอกจากนี้ยังมีประเด็นเรื่องการเก็บภาษี “Transhipment” หรือการส่งออกสินค้าจากจีนผ่านประเทศที่สาม โดยเฉพาะเวียดนาม ที่ทรัมป์ระบุว่าจะถูกเก็บภาษีถึง 40% หากพบว่าสวมสิทธิ์สินค้าจีน ซึ่งอาจกระทบต่อประเทศไทยในฐานะที่เป็นฐานการผลิตสำคัญของจีนและเป็นห่วงโซ่อุปทานที่ส่งต่อไปยังสหรัฐ

โดยขณะนี้ทางกระทรวงการคลังของไทยได้ส่งข้อเสนอไปยังรัฐบาลสหรัฐเพื่อขอความชัดเจนในเรื่องอัตราภาษีนำเข้า แต่ยังไม่มีท่าทีตอบรับชัดเจน ทั้งนี้ตลาดยังรอติดตามว่าไทยจะถูกพิจารณาให้เสียภาษีในอัตราเดียวกับคู่แข่ง เช่น เวียดนามและฟิลิปปินส์ที่ 20% หรือจะสูงถึง 25-36% ซึ่งหากสูงเกินคาดอาจส่งผลลบต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนหลายแห่งที่มีสัดส่วนรายได้ส่งออกไปยังสหรัฐ

ประเด็นที่สอง คือ การเข้าสู่ช่วงประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/68 ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ โดยนักวิเคราะห์คาดว่าผลประกอบการในไตรมาสนี้จะชะลอลงเมื่อเทียบทั้งแบบ Year-on-Year และ Quarter-on-Quarter ซึ่งเป็นผลจากฐานที่สูงในไตรมาสแรกที่ผ่านมา และสะท้อนว่ากำไรสูงสุดของกลุ่มอาจผ่านไปแล้วในครึ่งปีแรก ทั้งนี้นักลงทุนควรระมัดระวังแรงขายในหุ้นกลุ่มธนาคารที่ปรับขึ้นมาล่วงหน้า โดยเฉพาะหากตัวเลขกำไรต่ำกว่าคาด

อย่างไรก็ตาม หากราคาหุ้นกลุ่มธนาคารอ่อนตัวลงมาก็อาจเป็นจังหวะทยอยสะสมได้ เนื่องจากยังคงมีอัตราการจ่ายเงินปันผลในระดับสูงตามนโยบายเดิม รวมถึงยังมีความแข็งแกร่งในด้านเงินกองทุนและคุณภาพสินทรัพย์ โดยจุดที่ควรรอดูเพิ่มเติมคือผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เดือนสิงหาคม ซึ่งมีโอกาสที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะถูกปรับลดลง หากเป็นเช่นนั้นอาจส่งผลต่อแนวโน้มผลกำไรของกลุ่มธนาคารเพิ่มเติมได้อีก

ประเด็นที่สาม คือ สถานการณ์การเมืองภายในประเทศ โดยเฉพาะการส่งคำชี้แจงของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ต่อศาลรัฐธรรมนูญในกรณีถูกให้หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี โดยมีกำหนดส่งคำชี้แจงภายในวันที่ 16 กรกฎาคมนี้ ขณะที่การพิจารณาของศาลอาจต้องใช้เวลาอีกประมาณ 1 เดือน จึงถือเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างต่อเนื่องว่าจะมีผลต่อความเชื่อมั่นในตลาดทุนอย่างไร

ในด้านกลยุทธ์การลงทุน นักวิเคราะห์แนะนำให้จับตาหุ้นกลุ่มที่มีแนวโน้มผลประกอบการดี ดังนี้

กลุ่มธนาคาร รอจังหวะหลังประกาศงบและรอความชัดเจนจาก กนง. หากราคาย่อลง อาจทยอยสะสมเพื่อรับปันผล

กลุ่ม ICT อย่างบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC คาดว่าผลประกอบการไตรมาส 2/68 จะออกมาดี

กลุ่มโรงพยาบาล เช่น บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH ก็มีแนวโน้มผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในไตรมาสนี้

หุ้น Undervalue เช่น บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน) หรือ BDMS และ บริษัท ติดล้อ โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR ราคาลงมาเยอะ มีโอกาสในการเก็งกำไรหากดอกเบี้ยลดลง

ส่วนมุมมองต่อราคาสินทรัพย์ดิจิทัล โดยเฉพาะ Bitcoin ยังได้รับแรงหนุนจากการยอมรับของสายการบิน Emirates และท่าทีสนับสนุนเทคโนโลยี AI และ Blockchain จากรัฐบาลสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ราคาที่ปรับขึ้นมามากแล้วอาจต้องใช้ความระมัดระวัง โดยนักวิเคราะห์ประเมินว่าหากราคา Bitcoin ปรับฐานลงมาบริเวณ 11,000-11,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ อาจเป็นจังหวะที่เหมาะสมต่อการทยอยสะสม

Back to top button