
SCB Julius Baer เผยกรุงเทพ ค่าครองชีพพุ่ง ติดอันดับ 11 แพงสุดของโลก
SCB Julius Baer เปิดรายงานแนวโน้มความมั่งคั่งโลกปี 2568 เผยพฤติกรรมการใช้ชีวิตของกลุ่ม HNWIs ในเอเชียเร่งลงทุนยั่งยืน พร้อมวางแผนชีวิตยืนยาว ด้านกรุงเทพฯ ติด Top อันดับที่ 11 เมืองค่าครองชีพสูงสุดของโลก
บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด (SCB Julius Baer) บริษัทร่วมทุนระหว่าง ธนาคารไทยพาณิชย์ และ จูเลียส แบร์ (Julius Baer) เปิดเผย “รายงานความมั่งคั่งและไลฟ์สไตล์จากทั่วโลก ประจำปี 2568” (Global Wealth and Lifestyle Report 2025) ที่จัดทำโดย จูเลียส แบร์ ซึ่งเผยให้เห็นถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้ที่มีความมั่งคั่งระดับสูง (UHNWIs และ HNWIs) ทั่วโลก โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่ยังคงมีการเติบโต
โดยพบกระแสการมีอายุยืนยาวอย่างมีคุณภาพ (Longevity) ส่งผลสำคัญต่อการวางแผนชีวิตและการเงิน สอดคล้องกับนิยามของความหรูหราที่กำลังเปลี่ยนไปจากการบริโภคสินค้าหรูสู่การเน้นประสบการณ์อันล้ำค่า ขณะที่กรุงเทพฯ ติดอันดับเมืองค่าครองชีพแพงอันดับ 11 ของโลก และสิงค์โปรยังคงครองอันดับ 1 ติดต่อกันเป็นปีที่ 3 สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของตลาดความมั่งคั่งในเอเชียแปซิฟิกยังคงคึกคักและเติบโตอย่างต่อเนื่อง
อีกทั้ง ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ยังคงเป็นภูมิภาคที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก แม้เศรษฐกิจจะชะลอตัวลงเล็กน้อยในปี 2567 แต่ก็ยังคงแซงหน้าค่าเฉลี่ยทั่วโลก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้ความมั่งคั่งในภูมิภาคนี้พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมีการเติบโตของ GDP ที่ 4.5% ในปี 2567 ซึ่งลดลงเล็กน้อยจาก 5.1% ในปี 2566 แต่ยังคงสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 3.3% อย่างชัดเจน
แนวโน้มนี้ส่งผลโดยตรงต่อจำนวนผู้ที่มีความมั่งคั่งระดับสูงในเอเชีย ที่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 5% ต่อปี แตะระดับ 855,000 คนในปี 2567 โดยมีแรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนและอินเดีย ซึ่งคาดการณ์ว่าจะช่วยหนุนสัดส่วนของ HNWIs รายใหม่ทั่วโลกในเอเชียให้สูงถึง 47.5% ระหว่างปี 2568 ถึง 2571 ตัวเลขเหล่านี้ตอกย้ำให้เห็นว่า เอเชียแปซิฟิกยังคงเป็นศูนย์กลางของโอกาสทางเศรษฐกิจและเป็นแหล่งกำเนิดความมั่งคั่งที่สำคัญของโลก
ทั้งนี้ SCB Julius Baer รายงานเผยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงอันดับเมืองที่มีค่าใช้จ่ายสูงสำหรับผู้มีความมั่งคั่งระดับสูง โดยกรุงเทพฯ เลื่อนขึ้น 6 อันดับมาอยู่ที่อันดับ 11 ของโลก ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดในภูมิภาค รายงานระบุว่า กรุงเทพฯ กลายเป็นหนึ่งในมหานครที่แพงที่สุดในโลกสำหรับ สินค้าฟุ่มเฟือย อย่างแฟชั่นสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ รวมถึงรถยนต์และนาฬิกา
สำหรับเมืองอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก สิงคโปร์ยังคงครองอันดับ 1 เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน ฮ่องกงอยู่ในอันดับ 3 (ลดลงจากอันดับ 2) โตเกียวเลื่อนขึ้น 6 อันดับมาอยู่ที่อันดับ 17 และเซี่ยงไฮ้ลดลงจากอันดับ 4 มาอยู่ที่อันดับ 6
อย่างไรก็ดี ผู้ที่มีความมั่งคั่งระดับสูงในเอเชียแปซิฟิกมีแนวโน้มการเพิ่มทั้งการใช้จ่ายและการลงทุน (39%) โดยมีการเพิ่มขึ้นโดยรวมในการลงทุนสูงที่สุดที่ 68% ผู้ลงทุนในภูมิภาคนี้ยังมีแนวโน้มสนใจการลงทุนในเทรนด์อนาคตหรือการลงทุนที่สอดคล้องกับค่านิยมของตนเองมากกว่าภูมิภาคอื่น ด้านหุ้นยังคงเป็นสินทรัพย์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ตามด้วยอสังหาริมทรัพย์และเงินสด
นอกจากนี้ยังพบว่าแม้ภูมิภาคอื่นจะเกิด ESG fatigue หรือความอ่อนล้าจากการลงทุนที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลในหลายภูมิภาคทั่วโลก แต่ในเอเชียแปซิฟิกกลับสวนทางด้วย ความมุ่งมั่นที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในการลงทุนอย่างยั่งยืน สะท้อนให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ระยะยาวและความตระหนักถึงความสำคัญของการสร้างผลกระทบเชิงบวกควบคู่ไปกับการสร้างผลตอบแทนทางการเงิน
อีกทั้ง ผู้มีความมั่งคั่งระดับสูงในเอเชียแปซิฟิกให้ความสำคัญกับการมีอายุยืนยาวและมีคุณภาพชีวิต (Longevity) เป็นอันดับต้นๆ โดย 100% ของผู้ตอบแบบสอบถามในภูมิภาคนี้พบว่าพวกเขากำลังใช้มาตรการต่าง ๆ เพื่อเพิ่มอายุขัย ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้ชีวิต เช่น การออกกำลังกายสม่ำเสมอและการรับประทานอาหารที่ดี ไปจนถึงการบำบัดด้วยยีน (Gene) และไครโอจีนิกส์ (Cryogenic) ที่มีผู้ใช้ถึง 21% เมื่อพิจารณาถึงความยืนยาวทางการเงิน ผู้มีความมั่งคั่งระดับสูงส่วนใหญ่กล่าวว่าพวกเขาจะปรับกลยุทธ์การจัดการความมั่งคั่งเพื่อรองรับการมีอายุยืนยาวขึ้น ผู้ตอบแบบสอบถามในเอเชียแปซิฟิกมีแนวโน้มที่จะสร้างแผนการดูแลระยะยาวมากกว่าภูมิภาคอื่น โดยมีถึง 68% ที่เลือกตัวเลือกนี้
ทาง SCB Julius Baer รายงานยืนยันแนวโน้มการเปลี่ยนผ่านจากการบริโภคสินค้าไปสู่การเน้นประสบการณ์ ในขณะที่การใช้จ่ายสำหรับสินค้าหรูหราชะลอตัวลง แต่ความต้องการสำหรับการรับประทานอาหารสุดหรู (Fine Dining) การท่องเที่ยวแบบเอ็กซ์คลูซีฟ และประสบการณ์ที่ได้รับการคัดสรรยังคงเติบโตได้ดี สะท้อนให้เห็นถึงวิวัฒนาการของนิยามของ “ความหรูหรา” ที่เปลี่ยนไปของกลุ่มผู้ที่มีความมั่งคั่งระดับสูง
โดยพวกเขาไม่ได้มองความหรูหราที่การครอบครองสิ่งของอีกต่อไป แต่หันมาให้ความสำคัญกับไลฟ์สไตล์, ความเป็นอยู่ที่ดี (Wellbeing), และประสบการณ์ที่มีความหมาย ซึ่งเป็นสิ่งที่เติมเต็มคุณค่าทางจิตใจและสร้างความทรงจำที่ยั่งยืนมากกว่าการเป็นเจ้าของวัตถุ
อย่าไรก็ตาม ภูมิทัศน์ความมั่งคั่งในเอเชียกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมื่อธุรกิจแบบดั้งเดิมยังคงเป็นรากฐานสำคัญ แต่โอกาสใหม่จากเทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนโฉมหน้าผู้ที่มีความมั่งคั่งระดับสูงในเอเชียให้หลากหลายและทันสมัยยิ่งขึ้น พร้อมกันนั้น การส่งต่อความมั่งคั่งจากรุ่นสู่รุ่นคาดว่าจะเห็นการเปลี่ยนมือของสินทรัพย์มูลค่ากว่า 5.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ในระหว่างปี 2566-2573 ซึ่งจะเร่งให้เห็นการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความต้องการใหม่ในรูปแบบการใช้ชีวิตและการใช้จ่าย เช่น การมุ่งเน้นด้านความยั่งยืน การก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มตัว และการให้ความสำคัญกับประสบการณ์เหนือกว่าการครอบครองสิ่งของ แนวโน้มเหล่านี้จะส่งอิทธิพลอย่างมากต่อตลาดสินค้าหรูทั่วโลก อสังหาริมทรัพย์ และกลยุทธ์การลงทุน ในอีกหลายปีข้างหน้า ซึ่งเป็นการปูทางไปสู่โอกาสและความท้าทายใหม่ ๆ ในอนาคต
ดังนั้น SCB Julius Baer ในฐานะ Private Baking จากสวิตเซอร์แลนด์เพียงแห่งเดียวที่ประกอบธุรกิจในประเทศไทย พร้อมรับมือกับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงสำคัญของภูมิทัศน์ความมั่งคั่งทั่วโลก โดยมุ่งเน้นให้บริการแก่กลุ่มลูกค้าที่มีความมั่งคั่งระดับสูงในเมืองไทย ผ่านบริการที่ครบวงจร ครอบคลุมทั้ง บริการที่ปรึกษาด้านการลงทุน บริการ Discretionary mandates ตลอดจนบริการการวางแผนความมั่งคั่งด้วยการจัดโครงสร้างการถือครองทรัพย์สิน การวางแผนทางการเงิน และการส่งต่อความมั่งคั่งสำหรับคนรุ่นต่อไป
โดย SCB Julius Baer พร้อมที่จะนำความเชี่ยวชาญ โดยทีมงานมืออาชีพที่มีความเชี่ยวชาญสูง ซึ่งประกอบด้วย ผู้จัดการธุรกิจสัมพันธ์ หรือ Relationship Manager (RM) และที่ปรึกษาการลงทุน หรือ Investment Advisors (IA) ให้คำแนะนำและคำปรึกษาแก่ลูกค้าคนสำคัญ เพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถประเมินผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุน และวางแผนการส่งต่อความมั่งคั่งให้กับรุ่นถัดไปได้อย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ