CGSI เคาะซื้อ THAI เป้า 10.80 บาท ชูกำไรโตต่อเนื่อง ลุยขยายฝูงบิน จับตารีซูมเทรดพรุ่งนี้!

“บล.ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล” แนะ “ซื้อ” THAI เป้า 10.80 บาท มองพื้นฐานแกร่ง หลังฟื้นฟูกิจการ พ่วงอานิสงส์น้ำมันลด-รายได้ต่อหน่วยสูง และขยายฝูงบินแตะ 100 ลำ คาดหนุนกำไรโตต่อเนื่องถึงปี 2570 จับตา! กลับมาเทรดวันแรกพรุ่งนี้ (4 ส.ค.)


บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด หรือ CGSI ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 10.80 บาท โดยให้เหตุผลว่าบริษัทสามารถฟื้นฟูกิจการได้สำเร็จภายใต้โครงสร้างใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะการหลุดพ้นจากสถานะรัฐวิสาหกิจ ซึ่งทำให้สามารถบริหารธุรกิจเชิงพาณิชย์ได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น

โดย CGSI ประเมินว่า ศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่งยกเลิกการฟื้นฟูกิจการของ THAI ในเดือนมิ.ย. 2568 และหุ้น THAI เตรียมจะเข้าซื้อขายในตลาดหันอีกครั้งในวันที่ 4 ส.ค.68  โดยครั้งนี้บริษัทกลับมาพร้อมกับงบดุลสะอาดขึ้น, การดำเนินงานที่มีประสิทธิ์ภาพมากขึ้น และทีมผู้บริหารที่แข็งแกร่งกว่าเดิม จึงเริ่มต้นวิเคราะห์หัน THAI ด้วยคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 10.8 บาท ซึ่งจะเท่ากับ EV/EBITDA 5.5x ในปี 69 (ระดับเดียวกับสายการบินที่ให้บริการเต็มรูปแบบในภูมิภาค)

นอกจากนี้ ด้วยปัจจัยหนุนจากปริมาณที่นั่ง (capacty) ที่มีจำกัดทั่วโลกและราคาน้ำมันอากาศยานที่ลดลง เราจึงเชื่อว่าประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นและวินัยทางการเงินจะมีบทบาทสำคัญต่อการเพิ่มความสามารถทางการแข่งขันและความสามารถในการทำกำไรของ THAI ในช่วง 3-5 ปีข้างหน้าส่วนปัจจัยบวกที่จะช่วยให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นคือการที่บริษัทกลับมาทำกำไรและจ่ายเงินปันผล รวมทั้งความสำเร็จของแผนยกเครื่องฝูงบิน ขณะที่ downside risk จะมาจากราคาน้ำมันอากาศยานที่มันผวน, รายได้จากผู้โดยสารเฉลี่ยต่อหน่วย (passenger yid) ที่ต่ำกว่าคาดและการส่งมอบเครื่องบินใหม่ล่าช้า

ปัจจุบัน THAI มีการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพหลังแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างเราเชื่อว่าธุรกิจของ THAI ฟื้นตัวกลับมาอย่างแข็งแกร่งจากการพลิกโฉมองค์กรหลังบริษัทเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการในเดือนมิ.ย.2563 โดยเราเชื่อว่า THAI มีความก้าวหน้าในการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากสถานะเดิมที่เป็นรัฐวิสาหกิจ (SOE) จนกระทั่งในเดือนก.ค.68 บริษัทประสบความสำเร็จกับการปรับปรงโครงสร้างองค์กร, ปรับโครงสร้างหนี้, ลดตำแหน่งพนักงานที่ไม่จำเป็น รวมทั้งการปรับขบขนาดของกองบิน (feet) ให้เหมาะสมกับความต้องการในปัจจุบัน

นอกจากนี้การที่ THAI พ้นสภาพการเป็นรัฐวิสาหกิจทำให้บริษัทหลดพ้นจากข้อจำกัดจากการเป็นองค์กรของภาครัฐและสามารถใช้แนวทางการบริหารจัดการในเชิงพาณิชย์มากขึ้น ซึ่งเรามองว่าความพยายามเหล่านี้มีบทบาทอย่างมากต่อการพลิกฟื้นธุรกิจจนทำให้ THAI สามารถกลับมาทำกำไรจากการดำเนินงาน 2.26-2.46 หมื่นล้านบาทในปี 66-67 จากที่มีขาดทุนปี 64-65

อีกทั้งอุตสาหกรรมการบินได้ประโยชน์จากปริมาณที่นั่งที่ยังขาดแคลนทั่วโลกหลังการส่งมอบเครื่องบินลดลงจากสถิติสูงสดในปี 61 ถึง 30% จึงทำให้รายได้และอัตราส่วนการขนส่งผู้โดยสาร (load factor) ในปัจจุบันยังคงแข็งแกร่งขณะที่เราคาดว่า THAI จะมีรายได้จากผู้โดยสารเฉลี่ยต่อหน่วยลดลงเล็กน้อยจาก 2.98-3.06 บาท(RPK (ปริมาณการขนส่งผู้โดยสารล้านคน-กม.) ในปี 66-67 เป็น 2.80-2.85 บาท RPK ในปี 68-70 แต่ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดีและสงกว่า 2.04-2.35 บาท/RPK ในปี 59-62 นอกจากนี้ เรายังคาดว่าราคาน้ำมันอากาศยานที่ปรับตัวลง 13% ในปี 68 (ตามประมาณการของ IATA) จะช่วยเพิ่มความสามารถในการทำกำไรของ THAI

โดยคาดว่า THAI จะมีกำไรปกติต่อหุ้นเติบโตเฉลี่ย 14% CAGR ในปี 67-70 ซึ่งจะขับเคลื่อนด้วยรายได้จากผู้โดยสารเฉลี่ยต่อหน่วยที่แข็งแกร่งและราคาน้ำมันอากาศยานที่ลดลง ส่วนรายได้จากการให้บริการน่าจะเติบโตเฉลี่ย 5% CAGR ในปี 67-70 จากการที่ THAI ขยายฝูงบินจาก 79 ลำในปี 67 เป็น 100 ลำในปี 70 นอกจากนี้คาดว่าปริมาณการผลิตด้านผู้โดยสาร (ASK) จะเพิ่มขึ้นจาก 6.57 หมื่นล้านที่นั่ง-กม. ในปี 67เป็น 8:23 หมื่นล้านที่นั่ง-กม. ในปี 70 (8% CAGR) โดยมีอัตราส่วนการขนส่งผู้โดยสารและรายได้จากผู้โดยสารเฉลี่ยต่อหน่วยทรงตัวที่ 78% และ 2.80-2.85 บาท/RPK ตามลำดับ

Back to top button