
สแกน 18 หุ้น SET ชนะตลาด 7 เดือนแรก NCAP โกยรีเทิร์น 108%
18 หุ้นโกยรีเทิร์น 7 เดือนแรกเกิน 20% แม้ดัชนี SET ผันผวน NCAP พุ่งทะลุ 108% นำขบวนหุ้นขนาดกลาง-เล็กที่โดดเด่นจากปัจจัยเฉพาะตัว ขณะที่นักวิเคราะห์มองครึ่งปีหลัง SET มีโอกาสฟื้นตัว จากได้แรงหนุนงบประมาณปี 69, ทิศทางดอกเบี้ยโลก และการฟื้นตัวของกำไรบริษัทจดทะเบียน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 ดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) เคลื่อนไหวในกรอบผันผวนภายใต้แรงกดดันจากปัจจัยทั้งในและต่างประเทศ โดยเปิดปีที่ระดับ 1,415.67 จุด ก่อนจะอ่อนตัวลงแตะระดับต่ำสุดบริเวณ 1,260 จุดในเดือนพฤษภาคม และค่อย ๆ ฟื้นตัวกลับขึ้นมาเคลื่อนไหวบริเวณ 1,280–1,300 จุดในช่วงสิ้นเดือนกรกฎาคม ซึ่งถือว่าดัชนียังปรับลดลงเมื่อเทียบกับต้นปี แม้จะเริ่มเห็นแรงซื้อจากนักลงทุนต่างชาติทยอยกลับเข้ามาบางช่วง
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางภาพรวมตลาดที่ยังไม่สดใส กลับมีหุ้นจำนวน 18 หลักทรัพย์ในกลุ่ม SET ที่สามารถปรับตัวขึ้นได้เกิน 20% โดยส่วนใหญ่เป็นหุ้นขนาดกลางและเล็กที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ทั้งการฟื้นตัวของธุรกิจหลังโควิด การขยายธุรกิจใหม่ การปรับโครงสร้าง หรือการได้แรงหนุนจากเมกะเทรนด์ เช่น พลังงานสะอาด รถยนต์ไฟฟ้า และ Digital Infrastructure โดยสามารถดูรายละเอียดความเคลื่อนไหวได้ตามตารางด้านล่างนี้
ทั้งนี้ บริษัท เน็คซ์ แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ NCAP ครองอันดับหนึ่งด้วยราคาหุ้นที่พุ่งขึ้นจาก 1.46 บาท ณ สิ้นปี 2567 เป็น 3.04 บาท ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2568 คิดเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้น 108.22% จากแรงเก็งกำไรเชิงบวกเกี่ยวกับการพลิกฟื้นธุรกิจและการเปลี่ยนผ่านสู่โมเดลสินเชื่อใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น
ขณะที่หุ้นอื่นที่ปรับขึ้นแรง ได้แก่บริษัท ฟู้ดแอนด์ดริ๊งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ F&D ปรับตัวขึ้น 59.57% จากการเติบโตของยอดขายและกำไรสุทธิที่โดดเด่น, บริษัท ศรีราชาคอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SRICHA ปรับตัวเพิ่มขึ้น 56.07% จากโอกาสรับงานโครงการในและต่างประเทศ รวมถึง บริษัท เน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NEX, บริษัท ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TFG และ บริษัท ยูเนี่ยนพลาสติก จำกัด (มหาชน) หรือ UP ซึ่งอยู่ในกลุ่มพลังงานทางเลือกและอาหารที่ได้อานิสงส์จากทั้งราคาสินค้าเกษตรและนโยบายรัฐ
ด้านกลุ่มไฟแนนซ์อย่าง บริษัท เอส 11 กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ S11 ปรับตัวขึ้น 41.71% และ บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM ปรับตัวเพิ่มขึ้น 30.81% ตอบรับแนวโน้มการบริหารหนี้และสินทรัพย์รอการขายที่มีประสิทธิภาพ
ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภค เช่น บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) หรือ BCPG ปรับตัวเพิ่มขึ้น 20.72% และ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เพิ่มขึ้น 21.45% ได้แรงหนุนจากทิศทางราคาน้ำมันและกระแสการลงทุนในพลังงานหมุนเวียน
ขณะที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีอย่าง บริษัท แอ็ดวานซ์ อินฟอร์เมชั่น เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ AIT เพิ่มขึ้น 29.97% ได้รับประโยชน์จากการลงทุนด้าน Digital Infrastructure ของรัฐ ขณะที่ บริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TSTH, บริษัท โอ ซี ซี จำกัด (มหาชน) หรือ OCC, บริษัท เอ็ม.ซี.เอส.สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ MCS, บริษัท เอเซีย เมทัล จำกัด (มหาชน) หรือ AMC และ บริษัท พรีเมียร์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PM ต่างให้ผลตอบแทนระหว่าง 22–28%
อย่างไรก็ตาม การที่หุ้นเหล่านี้สามารถให้ผลตอบแทนโดดเด่น สะท้อนถึงพฤติกรรมการลงทุนแบบ Selective Buy ที่นักลงทุนเน้นหุ้นที่มีปัจจัยเฉพาะตัวและแนวโน้มกำไรเติบโต แม้ในภาวะที่ดัชนีโดยรวมยังไม่ฟื้นตัวชัดเจน โดยเฉพาะในบริบทที่เศรษฐกิจไทยขยายตัวช้า การบริโภคยังอ่อนแรง และความไม่แน่นอนทางการเมืองยังเป็นปัจจัยกดดันหลัก
สำหรับแนวโน้มตลาดในช่วงที่เหลือของปี 2568 นักวิเคราะห์หลายแห่งมองว่าดัชนี SET มีโอกาสฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป หากมีปัจจัยสนับสนุนจาก 3 แกนหลัก ได้แก่ การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ซึ่งอาจช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี, การลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ที่อาจส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งและหนุน Fund Flow กลับเข้ามา และการฟื้นตัวของกำไรบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 3/2568 โดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน สื่อสาร การเงิน และอุตสาหกรรม
อย่างไรก็ดี นักลงทุนยังคงต้องจับตาความเสี่ยงจากเสถียรภาพการเมืองในประเทศ การจัดตั้งงบประมาณภาครัฐที่ล่าช้า และแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ยังอ่อนไหวต่อปัจจัยสงครามการค้าและภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งอาจส่งผลต่อการฟื้นตัวของตลาดหุ้นในระยะถัดไป