“บล.ดาโอ” ชี้เทรดวอร์เริ่มผ่อนคลาย แนะลงทุนหุ้นปันผล-พื้นฐานแกร่ง

บล.ดาโอ มองแรงกดดันการค้าโลกคลายลง แนะกลยุทธ์จัดพอร์ตแบบสมดุล Balanced Allocation เน้นกระจายลงทุนสินทรัพย์พื้นฐานแกร่ง


นางสาวธนันต์พร จรรย์โกมล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ความไม่แน่นอนเรื่องการค้าโลกลดลงอย่างมาก หลังจากที่สหรัฐฯ ออกมาตรการภาษีนำเข้า (Trade Tariff) สำหรับประเทศสำคัญๆในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา บล.ดาโอ ประเมินว่า การปรับขึ้นภาษีการค้าของทรัมป์ในรอบนี้มีเป้าหมายเพื่อลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ซึ่งอาจจะส่งผลต่อแนวโน้มการย้ายฐานการผลิตหรือการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานโลกค่อนข้างจำกัด

อีกทั้งสหรัฐฯ มีแนวโน้มจะบังคับใช้ภาษีเพิ่มเติมต่อการเลี่ยงภาษีผ่านประเทศที่สาม (Transshipment Tariffs) ในระยะถัดไปด้วย ซึ่งได้สะท้อนว่า “ความเสี่ยงด้านการค้า” ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันหลักในช่วงครึ่งปีแรก กำลังผ่อนคลายลง ซึ่งทำให้นักลงทุนสามารถประเมินทิศทางและผลกระทบของนโยบายเหล่านี้ได้ง่ายขึ้น

ในรายงานล่าสุดเดือนกรกฎาคมของ IMF ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลก โดยคาดว่าในปี 2025 จะขยายตัว 3.0% (จากเดิม 2.8%) และในปี 2569 จะขยายตัวต่อเนื่องที่ 3.1% (จากเดิม 3.0%) ซึ่งสะท้อนภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่เริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้นกว่าช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเปิดโอกาสให้นักลงทุนมองหาโอกาสและกระจายการลงทุนในประเทศที่มีพื้นฐานแกร่ง

ดังนั้นเมื่อปัจจัยขับเคลื่อนเปลี่ยน นักลงทุนจึงกลับมาประเมินโอกาสลงทุนโดยให้น้ำหนักต่อปัจจัยพื้นฐาน ระหว่าง “ปัจจัยบวกด้านมหภาค” เช่น นโยบายการเงินและการคลัง กับ “มูลค่าตลาด” มากกว่าปัจจัยเสี่ยงระยะสั้น ซึ่งปัจจุบันตลาดมี “ความแพงไม่เท่ากัน”

บล.ดาโอ มองว่า ตลาดสหรัฐฯ ยังถือว่าระดับราคาของดัชนี S&P500 อยู่ในระดับค่อนข้างแพง (Forward P/E 5Y) เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีต โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มใหญ่ (Large-cap) และหุ้นเทคโนโลยีชั้นนำ ที่มีค่า  Forward P/E 5Y สูงเกิน 1 เท่าของส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ซึ่งสะท้อนว่าตลาดยังคาดหวังการเติบโตที่แข็งแกร่งจากหุ้นกลุ่มนี้

อย่างไรก็ตามด้วยพื้นฐานของบริษัทเหล่านี้ที่ยังแข็งแกร่งโดยเฉพาะกลุ่ม AI Enabler และ AI Adopter ทำให้มุมมองต่อการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยรวมยังเป็นบวก โดยเฉพาะในกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ เช่น MAG7 ที่มีการเติบโตของกำไรอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่ตลาดยุโรปอยู่ในระดับราคาที่ไม่ตึงตัวเมื่อเทียบกับตลาดสหรัฐฯ GDP ของยูโรโซนในไตรมาส 2/2568 ขยายตัวเล็กน้อยและดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ว่าจะทรงตัว ปัจจัยสนับสนุนสำคัญมาจากเศรษฐกิจสเปน ฝรั่งเศส และไอร์แลนด์ ที่ฟื้นตัวได้ดี ขณะที่เยอรมนีและอิตาลียังอ่อนแรง ด้านนโยบายการเงินของ ECB ยังมีแนวโน้มผ่อนคลาย ซึ่งจะเป็นแรงหนุนต่อภาคเอกชน

ส่วนตลาดหุ้นเกิดใหม่อย่างจีน (H-Shares) และเวียดนามกลับอยู่ในโซนราคาถูก (Undervalued) หรือซื้อขายกันต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว แถมยังมีสัญญาณเชิงบวกจากการที่นักวิเคราะห์เริ่มปรับเพิ่มประมาณการกำไร (Earnings Revisions) อย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในแนวโน้มฟื้นตัวของเศรษฐกิจและกำไรบริษัทในระยะกลางถึงยาว

ส่วนประเทศอินเดีย ปรับมุมมองลดน้ำหนักการลงทุนจากการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าอินเดียโดยสหรัฐฯที่สูงถึง 50% ซึ่งอินเดียเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา แม้เศรษฐกิจในประเทศยังมีเสถียรภาพ แต่ความไม่แน่นอนจากสงครามการค้าส่งผลให้การส่งออกและการเติบโตในระยะถัดไปยังคงถูกจำกัด มุมมองจึงถูกปรับลดลง

ด้านราคาน้ำมันดิบ ได้ปรับน้ำหนักจาก Underweight เป็น Neutral ความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะกรณีรัสเซีย–ยูเครน และอิหร่าน–อิสราเอล ทำให้เกิด Supply Risk ในระยะสั้น ส่วนทองคำ แม้มีอุปสงค์จากธนาคารกลางโดยเฉพาะจีน ยังเป็นแรงหนุนหลักต่อราคาทองคำ แต่การไหลกลับของเม็ดเงินลงทุนจาก ETF ของนักลงทุนยังไม่เกิดขึ้น จากสภาวะ Risk On มองว่าทะลุระดับ 3,450 ดอลลาร์สหรัฐ ในระยะสั้นเป็นไปได้ยาก

สำหรับตลาดหุ้นไทย บล.ดาโอ เห็นโอกาสการลงทุนในหุ้นไทยมากขึ้น จากนักลงทุนต่างประเทศกลับเข้ามาซื้อสุทธิต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงสิ้นเดือนมิถุนายน 2025 จากโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยยายที่มีมากขึ้น ประกอบกับระดับราคาของตลาดไทย (SET Index) ที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี บ่งชี้ถึงโอกาสเชิงมูลค่า หากปัจจัยเสี่ยงต่างๆเริ่มคลี่คลาย

Back to top button