GULF กำไร Q2 ทะลัก 6.4 หมื่นลบ. รับรู้รายได้พลังงาน-ส่วนแบ่ง AIS บุ๊กพิเศษควบ “อินทัช”

GULF โกยกำไรไตรมาส 2/68 ทะลัก 6.4 หมื่นล้านบาท รับรู้กำไรพิเศษจากการควบความ INTUCH จำนวน 5.6 หมื่นล้านบาท พร้อมส่วนแบ่งกำไร AIS และธุรกิจพลังงานโตต่อเนื่อง ดัน Core Profit สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ปักธงรายได้ปีนี้โต 25% พร้อมวางงบลงทุน 1 แสนล้าน ลุยโครงการ Solar Farm–LNG–Data Center เต็มสูบ ด้าน D/E เหลือ 1.14 เท่า


บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2568 โดยมีรายได้รวม (total revenue) อยู่ที่ 40,617 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% จาก 32,629 ล้านบาท ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรจากการดำเนินงาน (core profit) อยู่ที่ 7,101 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% จาก 5,611 ล้านบาท ในไตรมาส 2/2567

ทั้งนี้ในไตรมาส 2/2568 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ (net profit) อยู่ที่ 63,871 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากกำไรจากการรวมธุรกิจ (gain from amalgamation) จำนวน 56,120 ล้านบาท (เนื่องจากการควบรวมธุรกิจกับ INTUCH เสร็จสิ้นเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2568 บริษัทฯ จึงได้เปรียบเทียบผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2568 กับข้อมูลทางการเงินรวมเสมือนของไตรมาส 2/2567)

โดยผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของกลุ่มบริษัทฯ มีสาเหตุหลักมาจากการเติบโตของธุรกิจพลังงาน ทั้งกลุ่มโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติและโรงไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน โดยในไตรมาส 2/2568 บริษัทฯ รับรู้ผลกำไรจากโครงการโรงไฟฟ้ากัลฟ์ ปลวกแดง (GPD) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้า IPP ภายใต้กลุ่ม IPD ครบทั้ง 4 หน่วย (กำลังการผลิตรวม 2,650 เมกะวัตต์) ที่ทยอยเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ตั้งแต่ปี 2566 ถึงปี 2567 เทียบกับในไตรมาส 2/2567 ที่รับรู้กำไรจากโครงการโรงไฟฟ้า GPD เพียง 3 หน่วย (กำลังการผลิตรวม 1,987.5 เมกะวัตต์) และรับรู้ส่วนแบ่งกำไร core profit ของโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติหินกอง (HKP) ครบทั้ง 2 หน่วย (กำลังการผลิตรวม 1,540 เมกะวัตต์) ที่ทยอยเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ตั้งแต่ปี 2567 ถึงปี 2568 เทียบกับในไตรมาส 2/2567 ที่รับรู้กำไรจากโครงการโรงไฟฟ้า HKP เพียง 1 หน่วย (กำลังการผลิต 770 เมกะวัตต์)

อีกทั้ง GULF ยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไร core profit ของโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Jackson Generation ในประเทศสหรัฐอเมริกา จำนวน 134 ล้านบาท ซึ่งพลิกจากผลขาดทุนจำนวน 164 ล้านบาท ในไตรมาส 2/2567 จากค่า Capacity Payment เฉลี่ยที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจาก 29 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเมกะวัตต์ต่อวัน ในช่วงเดือนมิถุนายน 2567 ถึงพฤษภาคม 2568 เป็น 270 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเมกะวัตต์ต่อวัน ในช่วงเดือนมิถุนายน 2568 ถึงพฤษภาคม 2569 ซึ่งเป็นผลมาจากความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นในตลาด Pennsylvania-New Jersey-Maryland Interconnection (PJM) ในขณะที่ปริมาณไฟฟ้าเสถียรที่จ่ายเข้าสู่ระบบลดลง

นอกจากนี้ในไตรมาส 2/2568 บริษัทฯรับรู้ผลกำไรจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน (solar farms) และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน (solar farms with battery energy storage systems) ในประเทศ จำนวน 5 โครงการ (กำลังการผลิตรวม 532 เมกะวัตต์) ซึ่งได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือนธันวาคม 2567

อย่างไรก็ตามในไตรมาส 2/2568 บริษัทฯ รับรู้ส่วนแบ่งกำไร core profit จากกลุ่ม GJP ลดลง 22% จาก 643 ล้านบาท ในไตรมาส 2/2567 เป็น 500 ล้านบาท ในไตรมาสนี้ เนื่องจากโครงการ IPP ทั้ง 2 โครงการภายใต้กลุ่ม GJP ได้แก่ โรงไฟฟ้ากัลฟ์ หนองแซง (GNS) และโรงไฟฟ้ากัลฟ์ อุทัย (GUT) มีปริมาณการขายไฟฟ้าให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ลดลง ตามความต้องการใช้ไฟฟ้ารวมของประเทศที่ชะลอตัว โดย GNS มี load factor เฉลี่ยลดลงจาก 52% ในไตรมาส 2/2567 เป็น 19% ในไตรมาสนี้ ในขณะที่ GUT มี load factor เฉลี่ยลดลงจาก 40% ในไตรมาส 2/2567 เป็น 5% ในไตรมาสนี้

ขณะเดียวกัน กลุ่มโรงไฟฟ้า SPP จำนวน 7 โครงการภายใต้กลุ่ม GJP มีอัตรากำไรขั้นต้นจากการขายไฟฟ้าให้กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมที่ลดลง เนื่องจาก ปตท. เรียกเก็บค่าก๊าซย้อนหลังจากการตรึงราคาก๊าซในช่วงปลายปี 2566 เพื่อช่วยพยุงราคาไฟฟ้าที่ 3.99 บาทต่อหน่วยในช่วงวิกฤตพลังงาน ซึ่งต่อมาในเดือนมิถุนายน 2568 คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้มีมติเห็นชอบให้ ปตท. ดำเนินการเรียกคืนเงินส่วนต่างมูลค่าก๊าซที่เกิดขึ้นจริงในช่วงเวลาดังกล่าว บริษัทฯ จึงบันทึกส่วนต่างราคาก๊าซในไตรมาส 2/2568 โดยจะทยอยชำระเป็น 6 งวด ตามรอบการปรับค่า Ft นอกจากนี้ ราคาค่า Ft เฉลี่ยลดลงในอัตราที่สูงกว่าการลดลงของราคาก๊าซธรรมชาติ โดยค่า Ft เฉลี่ยลดลงจาก 0.40 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง ในไตรมาส 2/2567 เป็น 0.25 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง ในไตรมาส 2/2568 ในขณะที่ราคาก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยลดลงจาก 319.6 บาท/ล้านบีทียู ในไตรมาส 2/2567 เป็น 317.3 บาท/ล้านบีทียู ในไตรมาส 2/2568

สำหรับกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP จำนวน 12 โครงการภายใต้กลุ่ม GMP มีกำไรลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยลดลง 17% จาก 751 ล้านบาท ในไตรมาส 2/2567 เป็น 626 ล้านบาท ในไตรมาสนี้ โดยมีสาเหตุหลักมาจากส่วนต่างราคาค่าก๊าซที่ ปตท. เรียกเก็บย้อนหลัง และค่า Ft ที่ลดลงตามที่กล่าวมาข้างต้น

อย่างไรก็ตามสัดส่วนของปริมาณการขายไฟฟ้าให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรมในกลุ่มบริษัทฯ มีเพียง 6% ของปริมาณการขายไฟฟ้าทั้งหมด บริษัทฯ จึงได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อย สำหรับโครงการโรงไฟฟ้ากัลฟ์ ศรีราชา (GSRC) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้า IPP ภายใต้กลุ่ม IPD มีกำไรที่ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากปริมาณการขายไฟฟ้าให้ กฟผ. ที่ลดลง โดยมี load factor เฉลี่ยลดลงจาก 84% ในไตรมาส 2/2567 เป็น 70% ในไตรมาสนี้

นอกจากนี้ บริษัทฯ รับรู้ส่วนแบ่งกำไร core profit จากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่ลดลงจากทั้งโครงการภายใต้กลุ่ม Gulf Gunkul Corporation (GGC) และโครงการ Borkum Riffgrund 2 (BKR2) ที่ประเทศเยอรมนี จากความเร็วลมที่ลดลง โดย GGC มีความเร็วลมเฉลี่ยลดลงจาก 5.5 เมตร/วินาที ในไตรมาส 2/2567 เป็น 4.8 เมตร/วินาที ในไตรมาส 2/2568 และ BKR2 มีความเร็วลมเฉลี่ยลดลงจาก 8.4 เมตร/วินาที ในไตรมาส 2/2567 เป็น 7.5 เมตร/วินาที ในไตรมาส 2/2568

ในส่วนของธุรกิจก๊าซ บริษัทฯ รับรู้ส่วนแบ่งกำไร core profit จากโครงการ PTT NGD จำนวน 208 ล้านบาท ในไตรมาส 2/2568 ลดลง 45% จาก 382 ล้านบาท ในไตรมาส 2/2567 เนื่องจากราคาน้ำมันเตาลดลงในอัตราที่สูงกว่าราคาค่าก๊าซธรรมชาติ โดยราคาน้ำมันเตาลดลงจาก 81.6 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ในไตรมาส 2/2567 เป็น 70.5 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ในไตรมาสนี้ ในขณะที่ราคาค่าก๊าซธรรมชาติลดลงจาก 337.8 บาท/ล้านบีทียู ในไตรมาส 2/2567 เป็น 330.3 บาท/ล้านบีทียู ในไตรมาสนี้ สำหรับธุรกิจจัดหาและขนส่งก๊าซธรรมชาติภายใต้ GLNG และ HKH ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 บริษัทฯ ได้นำเข้า LNG มาแล้วจำนวนรวม 29 ลำ หรือประมาณ 2 ล้านตัน ส่งผลให้บริษัทฯ รับรู้รายได้จาก shipper fee ที่เพิ่มขึ้น

ในไตรมาส 2/2568 บริษัทฯ รับรู้ส่วนแบ่งกำไร core profit จากการลงทุนใน AIS จำนวน 3,483 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41% จาก 2,476 ล้านบาท ในไตรมาส 2/2567 โดยมีสาเหตุหลักมาจากผลประกอบการที่ดีขึ้นของ AIS จากการเพิ่มขึ้นของ ARPU ซึ่งมุ่งเน้นจำหน่ายแพ็กเกจที่มีมูลค่าสูงขึ้น การส่งเสริมการใช้งานเครือข่าย 5G  ประกอบกับการบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ในไตรมาส 2/2568 บริษัทฯ ยังรับรู้เงินปันผลรับจากการลงทุนใน KBANK จำนวน 977 ล้านบาท

ทั้งนี้บริษัทฯ มีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ในไตรมาส 2/2568 จำนวน 13,432 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% เมื่อเทียบกับ 11,079 ล้านบาท ในไตรมาส 2/2567 ในขณะที่กำไรสุทธิ (net profit) ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ (รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนและกำไรจากการรวมธุรกิจ) ในไตรมาส 2/2568 เท่ากับ 63,871 ล้านบาท

โดย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 บริษัทฯ มีสินทรัพย์รวม 742,205 ล้านบาท หนี้สินรวม 396,105 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้น 346,100 ล้านบาท โดยมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (net interest-bearing debt to equity) อยู่ที่ 0.87 เท่า

ด้านนางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน GULF เปิดเผยว่า “บริษัทฯ ยังคงประมาณการการเติบโตของรายได้รวมในปี 2568 อยู่ที่ประมาณ 25% โดยไตรมาส 2/2568 เป็นไตรมาสแรกที่ GULF เริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการถือหุ้นโดยตรงใน AIS ในสัดส่วน 40.4% ภายหลังจากการควบรวมบริษัทเสร็จสิ้นเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา

สำหรับช่วงครึ่งหลังของปี 2568 บริษัทฯ คาดว่ารายได้รวมจะเติบโตอย่างต่อเนื่องจากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน (solar farms) และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน (solar farms with battery energy storage systems) ภายในประเทศ จำนวน 7 โครงการ กำลังการผลิตติดตั้งรวม 597 เมกะวัตต์

ขณะเดียวกันรายได้จากโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Jackson Generation ในประเทศสหรัฐอเมริกามีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากค่า Capacity Payment ที่ปรับเพิ่มขึ้นเนื่องจากความต้องการใช้ไฟฟ้าของ data center เพิ่มขึ้นอย่างมาก ในขณะที่โรงไฟฟ้าถ่านหินและโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทยอยปลดระวางลง โดยค่า Capacity Payment จะปรับเพิ่มขึ้นอีกในช่วงกลางปี 2569 จาก 270 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเมกะวัตต์ต่อวัน เป็น 329 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเมกะวัตต์ต่อวัน

ปัจจุบันบริษัทฯ ได้บรรลุเป้าหมายการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนให้มากกว่าร้อยละ 40 ของกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมภายในปี 2578 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยบริษัทฯ มีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งจากพลังงานหมุนเวียนทั้งที่เปิดดำเนินการแล้วและอยู่ระหว่างการพัฒนารวมมากกว่า 10,000 เมกะวัตต์ ครอบคลุม 5  ประเทศ ได้แก่ ประเทศไทย เวียดนาม ลาว เยอรมนี และ สหราชอาณาจักร

โดยตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้เดินหน้าขยายการลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงการเข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จำนวน 9 โครงการ กำลังการผลิตรวม 653 เมกะวัตต์ ร่วมกับบริษัท GUNKUL และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมจำนวน 5 โครงการ กำลังการผลิตรวม 437 เมกะวัตต์ ร่วมกับบริษัท บลู สกาย วินด์ พาวเวอร์ โฮลดิ้ง จำกัด

นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้เพิ่มสัดส่วนการลงทุนจาก 40% เป็น 100% ในโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำปากลายกำลังการผลิตติดตั้ง 770 เมกะวัตต์ ใน สปป.ลาว รวมถึงเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นเป็น 100% ในโครงการโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรม 12 โครงการ กำลังการผลิตติดตั้งรวม 119 เมกะวัตต์ และโรงงานผลิตเชื้อเพลิงแข็งจากขยะอุตสาหกรรม 3 โครงการ

ทั้งนี้ GULF จะยังคงมุ่งมั่นในการเดินหน้าขยายการลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนอย่างต่อเนื่องทั้งในและต่างประเทศ เพื่อสนับสนุนเป้าหมายระยะยาวของบริษัทฯ ในการบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Carbon Emissions) ภายในปี 2593 ต่อไป

สำหรับธุรกิจจัดหาและขนส่งก๊าซธรรมชาติ ในปี 2568 กลุ่มบริษัทฯ มีแผนจะนำเข้า LNG ทั้งหมดประมาณ 70 ลำ หรือคิดเป็นปริมาณรวม 4-5 ล้านตัน เพื่อรองรับการผลิตไฟฟ้าของโครงการโรงไฟฟ้า GSRC, GPD ,HKP และ SPP 19 โครงการ ในส่วนของลูกค้าอุตสาหกรรม ซึ่งจะสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจก๊าซอย่างต่อเนื่อง

ในขณะที่ธุรกิจดิจิทัลยังคงเป็นอีกหนึ่งกลุ่มธุรกิจสำคัญที่ช่วยผลักดันการเติบโตของบริษัทฯ โดยธุรกิจ data center ซึ่งบริษัทฯ ร่วมลงทุนกับ Singtel และ AIS ได้เริ่มทะยอยเปิดให้บริการเฟสแรก ขนาด 25 เมกะวัตต์ ไปเป็นที่เรียบร้อย และมีแผนขยายเป็น 200-300 เมกะวัตต์ภายใน 3 ปีข้างหน้า เพื่อรองรับความต้องการใช้งานโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นในประเทศไทย สำหรับธุรกิจ cloud บริษัทฯ ร่วมทุนกับ AIS เพื่อให้บริการระบบคลาวด์ทั้งในรูปแบบ public cloud และ private cloud โดยร่วมมือกับ Oracle และ Google ในการพัฒนาบริการที่ตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าอย่างครอบคลุมทั้งลูกค้าองค์กร ลูกค้า SMEs หน่วยงานภาครัฐ และรัฐวิสาหกิจ

บริษัทฯ มีแผนลงทุน (equity investment) รวมกว่า 100,000 ล้านบาท ในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า โดยมุ่งเน้นการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมภายในประเทศ โรงไฟฟ้าพลังน้ำ โรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรม และธุรกิจ data center

ทั้งนี้ เพื่อสนับสนุนแผนการเติบโตดังกล่าว บริษัทฯ มีแผนออกหุ้นกู้วงเงินรวมประมาณ 30,000 ล้านบาทในเดือนกันยายนนี้ ซึ่งจะเสนอขายให้แก่นักลงทุนสถาบัน นักลงทุนรายใหญ่ และประชาชนทั่วไป โดยจะนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นกู้ดังกล่าวไปใช้ในการชำระคืนเงินกู้จากสถาบันการเงิน และขยายธุรกิจของบริษัทฯ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว”

Back to top button