
STA โกยรายได้ขาย Q2 ทะลุ 3 หมื่นล้าน มั่นใจครึ่งหลังปี 68 ดีมานด์สินค้าพุ่ง
STA รายงานรายได้ขายไตรมาส 2/68 แตะ 3.08 หมื่นล้านบาท เติบโต 19% จากปีก่อน พร้อมมั่นใจแนวโน้มครึ่งหลังปี 68 ความต้องการยางธรรมชาติในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น
นายวีรสิทธิ์ สินเจริญกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ STA ผู้นำธุรกิจยางธรรมชาติครบวงจรรายใหญ่ที่สุดของโลกและผู้ผลิตถุงมือยางอันดับหนึ่งของประเทศไทย เปิดเผยว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมยางธรรมชาติครึ่งปีหลังคาดว่ามีความต้องการใช้ในตลาดโลกเพิ่มขึ้น หลังจากมีความชัดเจนยิ่งขึ้นเกี่ยวกับอัตราภาษีตอบโต้ของสหรัฐอเมริกา (US Reciprocal Tariff) ที่ทยอยได้ข้อสรุปกับหลายประเทศแล้ว ช่วยให้ภาคอุตสาหกรรมต่างๆ วางแผนธุรกิจต่อไปได้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังของบริษัทฯ
ขณะที่ข้อสรุปอัตราภาษีนำเข้าสินค้าไทยไปยังสหรัฐฯ ที่ 19% นั้น เป็นระดับเดียวกันกับประเทศผู้ผลิตถุงมือยางรายอื่นในอาเซียน ได้แก่ มาเลเซีย เวียดนาม และอินโดนีเซีย ทำให้บริษัทฯ ไม่สูญเสียความสามารถในการแข่งขัน และคงสถานะที่แข็งแกร่งในตลาดโลก โดยบริษัทฯ วางแผนขยายตลาดยางธรรมชาติและถุงมือยางอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลดีต่อการเติบโต โดยเฉพาะธุรกิจถุงมือยางของบริษัทฯ ในครึ่งปีหลังของปีนี้
ทั้งนี้ บริษัทฯ มุ่งมั่นผลักดันผลการดำเนินงานกลับมาทำกำไรในครึ่งปีหลัง จากการมุ่งเน้นประสิทธิภาพการบริหารต้นทุน อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ต้องติดตามคือสถานการณ์ราคายางธรรมชาติในตลาดโลกที่อ่อนตัวลงตั้งแต่ไตรมาส 2/2568 และยังคงมีแนวโน้มผันผวน
ส่วนผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2568 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและบริการ 30,841.40 ล้านบาท และปริมาณการขายยางธรรมชาติรวม 397,461 ตัน เพิ่มขึ้น 0.10% จากไตรมาสก่อน และ 20.70% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในจำนวนนี้เป็นรายได้จากธุรกิจถุงมือยาง 5,970.10 ล้านบาท ลดลง 8.40% เทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
แต่เพิ่มขึ้น 5.40% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นปริมาณการขายถุงมือยาง 9,091 ล้านชิ้น ลดลงเล็กน้อย 1.10% เทียบกับไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากลูกค้าบางส่วนชะลอคำสั่งซื้อเพื่อรอความชัดเจนของภาษีศุลกากรสหรัฐฯ แต่เพิ่มขึ้น 7.90% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจากการฟื้นตัวของดีมานด์ทั่วโลก
ภาพรวมผลการดำเนินงาน 6 เดือนแรกปี 2568 มีรายได้จากการขายและบริการ 65,226.50 ล้านบาท และปริมาณการขายยางธรรมชาติรวม 794,416 ตัน เพิ่มขึ้น 31.80% และ 22.70% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รวมถึงมีอีบิทด้า (EBITDA) 647.60 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นรายได้จากการขายถุงมือยาง 12,490.20 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากราคาขายเฉลี่ยที่ปรับเพิ่มขึ้น ส่วนปริมาณการขายอยู่ที่ 18,282 ล้านชิ้น ลดลงเล็กน้อย 1.30% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากความกังวลภาษีศุลากรสหรัฐฯ แต่ชดเชยด้วยราคาขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากราคาขายยางธรรมชาติได้รับแรงกดดันจากมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ของประธานาธิบดีทรัมป์ ส่งผลให้ราคาขายเฉลี่ยไตรมาส 2/2568 ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ส่งผลต่ออัตรากำไร ทำให้บริษัทฯ มีผลขาดทุนสุทธิในไตรมาส 2/2568 และ 6 เดือนแรกปี 2568 ที่ 786.80 ล้านบาท และ 98.10 ล้านบาท ตามลำดับ