
“โกลเบล็ก” มอง SET สัปดาห์นี้ “ไซด์เวย์” ชู KTC-HMPRO รับเข้าคำนวณ MSCI
บล.โกลเบล็ก ประเมินตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ไซด์เวย์ให้กรอบดัชนี 1,240-1,280 จุด พร้อมเกาะติดผลการดำเนินงาน บจ.ไตรมาส 2/68 ส่วนกลยุทธ์ลงทุนชู KTC และ HMPRO รับข่าวเข้าคำนวณดัชนี MSCI Global Small Cap
นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีในสัปดาห์นี้มีโอกาส Sideway ออกข้าง หลังเปิดตลาดจากหยุดยาวประกอบกับนักลงทุนยังติดตามการประกาศผลการดำเนินงานของ บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่จะสิ้นสุดในช่วงกลางสัปดาห์นี้ (14 ส.ค.) ขณะที่ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลงต่อเนื่องกดดันหุ้นกลุ่มพลังงาน จึงให้กรอบกรอบดัชนีที่ 1,240-1,280 จุด
อีกทั้ง Fed Watch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนักมากถึง 95.2% ที่ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนก.ย.นี้ เพิ่มขึ้นอย่างมากจากระดับ 46.7% ในสัปดาห์ที่แล้ว และทาง คณะกรรมการนโยบายการเงิน (MPC) ของ ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) มีมติด้วยคะแนนเสียง 5-4 ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 4.0% สอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ซึ่งเป็นภาพของการทยอยลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางแต่ละประเทศ
ขณะที่ สถานการณ์ในประเทศทางสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยว่า ผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนเดือนกรกฎาคม 2568 พบอีก 3 เดือนข้างหน้าอยู่ในเกณฑ์ทรงตัวที่ระดับ 81.06 นักลงทุนมองการไหลเข้าของเงินทุน เป็นปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นมากที่สุด
รองลงมาได้แก่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ และการปรับตัวของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลก เช่นเดียวกับที่คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ได้ปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจ (GDP) ไทยปี 68 มาอยู่ที่ 1.8-2.2% จากเดิมคาดไว้ที่ 1.5-2.0%
รวมทั้งปรับเพิ่มประมาณการส่งออกไทยปีนี้เป็น 2-3% จากเดิมติดลบ 0.5-0.3% จากความสำเร็จในการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่ง Consensus ส่วนใหญ่ประเมินว่าการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. ในวันที่ 13 ส.ค.นี้ จะเห็นกนง.ลดดอกเบี้ยนโยบาย
อย่างไรก็ตาม ยังคงเฝ้าระวังปัจจัยลบที่ส่งผลเชิงจิตวิทยาการลงทุนจากมาตรการภาษีของทรัมป์ ต่อเนื่อง อาทิ มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal tariffs) ที่ประกาศใช้กับประเทศคู่ค้าหลายสิบประเทศ เริ่มมีผลบังคับใช้แล้วในวันพฤหัสบดีที่ 7 ส.ค. ซึ่งจะส่งผลให้ประเทศเหล่านี้ถูกเรียกเก็บภาษีในอัตราตั้งแต่ 10% ไปจนถึง 50% ทำให้อัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ พุ่งสูงที่สุดในรอบศตวรรษ และการประกาศว่าจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าชิปและเซมิคอนดักเตอร์สูงถึง 100% แต่จะยกเว้นให้สำหรับบริษัทที่ผลิตหรือมีแผนจะผลิตสินค้าในสหรัฐฯ
ส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ สาขาแอตแลนตา เปิดเผยว่า แบบจำลองคาดการณ์ GDPNow ล่าสุดแสดงว่า GDP สหรัฐฯ ขยายตัว 2.5% ในไตรมาส 3/68 หลังจากเศรษฐกิจขยายตัว 3% ในไตรมาส 2/68 และหดตัว 0.5% ในไตรมาส 1/68
นอกจากนี้ ยังคงต้องเฝ้าระวังปัจจัยในประเทศที่อาจจะส่งผลต่อการลงทุนได้เช่นกัน อาทิ วันที่ 13 ส.ค. กำหนดการประชุม กนง. ครั้งที่ 4/2568, วันที่ 14 ส.ค. กำหนดส่งงบการเงินวันสุดท้ายประจำไตรมาส 2/68, สัปดาห์ที่ 3 สภาธุรกิจตลาดทุนไทย แถลงผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนและอัพเดตสถานการณ์ลงทุน, มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยแถลงดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค, ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย, ส.อ.ท. แถลงดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม, วันที่ 18 ส.ค. สภาพัฒน์แถลง GDP ไตรมาส 2/68
ส่วนปัจจัยต่างประเทศ อาทิ วันที่ 13 ส.ค. สหรัฐฯ รายงานสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์, วันที่ 14 ส.ค. จีน รายงานยอดปล่อยกู้ใหม่สกุลเงินหยวนเดือนก.ค., อังกฤษ รายงาน GDP ไตรมาส 2/68 (ประมาณการเบื้องต้น), อียู รายงานการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนมิ.ย. และ GDP ไตรมาส 2/68 (ประมาณการครั้งที่ 2), สหรัฐฯ รายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือน ก.ค.
ด้าน นายวัชเรนทร์ จงยรรยง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก แนะนำกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการปรับน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทยของ MSCI ซึ่งจะมีผลในวันที่ 26 ส.ค.นี้ โดยไม่มีหุ้นที่เข้าคำนวณ ดัชนี MSCI Thailand ขณะที่มีหุ้นที่นำออกจากกลุ่มดัชนี ได้แก่ HMPRO, OR ส่วนดัชนี MSCI Global Small Cap มีหุ้นที่เข้าคำนวณ ได้แก่ KTC, HMPRO แนะนำซื้อเก็งกำไร โดยมีหุ้นที่นำออก ได้แก่ ICHI, SISB, TPIPL ซึ่งต้องระวังแรงขายทำกำไร