
SKY ปักหมุดไทยสู่ Aviation Hub อาเซียน พร้อมชู Biometric-AI ยกระดับสนามบิน
SKY ประกาศวิสัยทัศน์ผลักดันไทยขึ้นแท่นศูนย์กลางการบินเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผ่านการบูรณาการ Aviation Tech–AI–Digital Service ชิงดีลประมูลภาคพื้น-คาร์โก้สุวรรณภูมิ 25 ปี พร้อมต่อยอดธุรกิจ Smart Facility และ Contact Center เสริมความแข็งแกร่งการเงิน
นายสิทธิเดช มัยลาภ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) หรือ SKY เปิดเผยผ่านในงาน Market’s New Magnet : ผู้นำธุรกิจโลกยุคใหม่ จัดโดย “หนังสือพิมพ์ข่าวหุ้นธุรกิจ” ว่า SKY ไม่ใช่เพียงผู้พัฒนาเทคโนโลยี แต่เป็นผู้รับผิดชอบโดยตรงในการให้บริการ Aviation Technology หรือ “Airport System and Service” ครอบคลุมในหลายมิติ และมีส่วนสำคัญในระบบการเดินทางทางอากาศของประเทศ
โดยปัจจุบัน SKY มีระบบที่ถูกใช้งานจริงในกว่า 13 สนามบินทั่วประเทศ เช่น ระบบจำหน่ายตั๋วโดยสารและบอร์ดดิ้งพาส ผ่านเคาน์เตอร์สายการบินและตู้ Self Check-in กว่า 196 เครื่องที่สนามบินสุวรรณภูมิ และ 70-80 เครื่องที่ดอนเมือง รวมถึงบริการ Self Bag Drop ที่ช่วยให้ผู้โดยสารสามารถโหลดกระเป๋าด้วยตนเองโดยไม่ต้องรอคิวสายการบิน นอกจากนี้ยังมี Passenger Validation System (Autogate) และระบบ Boarding Autogate ที่ใช้ตรวจสอบบอร์ดดิ้งพาสก่อนขึ้นเครื่องบิน
ขณะที่นวัตกรรมล่าสุดคือ Biometric Technology ที่ให้ผู้โดยสารใช้ “ใบหน้า” เป็น Token แทนบัตรประชาชนหรือพาสปอร์ต เพื่อผ่าน Touch Point ต่าง ๆ ในสนามบิน โดยเริ่มใช้งานแล้วที่สุวรรณภูมิ ดอนเมือง เชียงใหม่ เชียงราย ภูเก็ต และหาดใหญ่ ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวกสบาย ลดความซับซ้อน และสร้างมาตรฐานใหม่ในการเดินทางทางอากาศ
ทั้งนี้ ในมิติด้านความมั่นคง SKY ยังเป็นผู้พัฒนา ระบบตรวจสอบข้อมูลผู้โดยสารขาเข้า-ขาออกประเทศ ซึ่งช่วยสนับสนุนภาครัฐในการตรวจสอบและติดตามอาชญากรข้ามชาติ โดยมีหลายกรณีที่ระบบสามารถช่วยตรวจจับผู้กระทำผิดได้จริง นอกจากนี้ยังมีบริการเสริมอื่น ๆ เช่น โครงสร้างพื้นฐาน Wi-Fi “สวัสดีแอร์พอร์ต”, การบริหารจัดการรถเข็นสัมภาระที่สนามบินสุวรรณภูมิโดยพนักงานกว่า 360 คน, รวมถึงการนำ หุ่นยนต์ทำความสะอาดอัตโนมัติ (Cleaning Robot) มาใช้งานในพื้นที่ขนาดใหญ่ เพื่อลดภาระงานซ้ำซ้อนและเพิ่มคุณภาพชีวิตให้บุคลากร
ด้านธุรกิจภาคพื้น SKY ถือหุ้น 24% ในบริษัท AOTGA (AOT Ground Aviation Services) ร่วมกับบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ซึ่งถือหุ้น 49% โดยปัจจุบัน AOTGA เป็นผู้ให้บริการภาคพื้นที่สนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมือง และภูเก็ต ขณะเดียวกัน SKY กำลังรอผลการประมูลสำคัญเพื่อเป็นผู้ให้บริการภาคพื้นรายที่ 3 และ Cargo Service ที่สนามบินสุวรรณภูมิ เป็นเวลา 25 ปี ซึ่งถือเป็นดีลขนาดใหญ่ที่จะกำหนดบทบาทของบริษัทในธุรกิจสนามบินไทยในอนาคต
นายสิทธิเดช กล่าวย้ำว่า SKY ไม่เพียงมุ่งเน้นด้าน Aviation Technology แต่ยังรวมถึงการบูรณาการเทคโนโลยีด้าน Cleaning, Security และบริการดิจิทัลในสนามบิน เพื่อยกระดับประสบการณ์ของผู้โดยสาร ควบคู่กับการสนับสนุนภาครัฐและยกระดับมาตรฐานการให้บริการภาคพื้นและคาร์โก้ให้เทียบเท่าสากล
นอกจากนี้ มองว่าประเทศไทยมีความพร้อมและศักยภาพที่จะพัฒนาเป็นศูนย์กลางการบิน (Aviation Hub) ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยจุดแข็งด้านทำเลที่ตั้งซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์เชื่อมต่อระหว่างยุโรปและเอเชียตะวันออก ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นหนึ่งใน 3 ทางเลือกหลักของสายการบินและผู้ให้บริการขนส่งสินค้า ร่วมกับสิงคโปร์และฮ่องกง
ทั้งนี้ การเป็น Aviation Hub ต้องมี 3 แกนหลัก ได้แก่ การเป็นศูนย์กลางขนส่งผู้โดยสาร ศูนย์กลางซ่อมบำรุงเครื่องบิน และศูนย์กลางขนส่งสินค้า ปัจจุบันไทยมีศักยภาพรองรับผู้โดยสาร 60 ล้านคนต่อปี และจะขยายเป็น 80 ล้านคนต่อปีภายใน 3 ปี ผ่านการลงทุนขยายสนามบินสุวรรณภูมิและเพิ่มรันเวย์จาก 2 เป็น 3 เส้น รองรับได้ 90 เที่ยวบินต่อชั่วโมง เทียบเท่าสิงคโปร์ ขณะที่ด้านขนส่งสินค้าไทยยังรองรับได้เพียง 1 แสนตันต่อปี ต่ำกว่าสิงคโปร์ที่ 2 ล้านตัน และฮ่องกงที่ 5 ล้านตัน ซึ่งเป็นโจทย์สำคัญที่ต้องเร่งพัฒนาระบบโลจิสติกส์เพื่อแข่งขัน
โดยปัจจัยสำคัญคือ “ความถี่และจำนวนเที่ยวบิน” โดยเปรียบเทียบว่า Singapore Airlines มีเครื่องบินกว่า 150 ลำ ขณะที่การบินไทยมีเพียงครึ่งหนึ่ง ส่งผลต่อความสามารถในการดึงดูดเส้นทางบินระหว่างประเทศ อีกทั้งการให้บริการเที่ยวบินของไทยยังมีข้อจำกัด เช่น หลังเที่ยงคืนแทบไม่มีเที่ยวบิน ขณะที่สิงคโปร์และฮ่องกงมีเที่ยวบินต่อเนื่องทั้งกลางวันและกลางคืน ทำให้ผู้โดยสารและผู้ส่งสินค้ามีทางเลือกมากกว่า
นอกจากนี้ SKY ยังมุ่งพัฒนาด้านดิจิทัลและดาต้า โดยได้วางโครงสร้างพื้นฐานเครือข่าย (Infrastructure) รองรับการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) เพื่อใช้ในการคาดการณ์การไหลเวียนของผู้โดยสาร (Passenger Flow) และแก้ปัญหาคอขวดในแต่ละจุด เช่น จุดเช็กอิน จุดตรวจความปลอดภัย และด่านตรวจคนเข้าเมือง พร้อมเป้าลดเวลาการดำเนินการผู้โดยสารจากเฉลี่ย 45-50 นาที เหลือเพียง 35 นาทีต่อคน
นายสิทธิเดช กล่าวเพิ่มเติมว่า SKY จะต่อยอดด้วย AI เพื่อสร้างประสบการณ์เดินทางที่เป็นส่วนบุคคล (Personalized Service) เช่น การเชื่อมโยงข้อมูลการเดินทางกับระบบการให้บริการร้านค้าในสนามบิน ภายใต้หลักการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายผลักดันสนามบินสุวรรณภูมิขึ้นสู่การเป็นหนึ่งใน 20 สนามบินชั้นนำของโลกภายในปี 2570 โดยเชื่อว่าการบูรณาการโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยี และความร่วมมือจากทุกภาคส่วน จะทำให้ไทยสามารถทัดเทียมสิงคโปร์และฮ่องกงได้
อย่างไรก็ตาม กลุ่มบริษัทมีผลประกอบการครึ่งปีแรก 2568 รายได้รวม 5,820 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 405 ล้านบาท เติบโต 67% และ 84% ตามลำดับเมื่อเทียบกับปีก่อน ถือเป็นการเติบโตสูงสุดในรอบหลายปี สะท้อนความแข็งแกร่งของโมเดลธุรกิจ Technology as a Service ที่สร้างรายได้แบบยั่งยืนและสัญญาระยะยาว พร้อมต่อยอดสู่ความมั่นคงทางการเงิน
ทั้งนี้แม้ภาคการท่องเที่ยวไทยยังได้รับผลกระทบ โดยจำนวนนักท่องเที่ยวจีนหายไปเกือบ 30% แต่จำนวนผู้โดยสารที่เดินทางเข้าออกประเทศยังคงเติบโต 5.3% สนับสนุนให้รายได้จากระบบเช็กอิน ระบบ Biometric และการตรวจสอบข้อมูลการเดินทางที่ SKY ลงทุนกว่า 5,000 ล้านบาทเมื่อ 5 ปีก่อน ยังสร้างรายได้ต่อเนื่อง “ยิ่งผู้โดยสารเดินทางมาก บริษัทก็มีรายได้มาก” นายสิทธิเดชกล่าว พร้อมระบุว่าธุรกิจการเดินทางยังเป็นสัดส่วนรายได้หลักกว่า 75% ของ SKY
ด้านการขยายพอร์ต บริษัทมีบริษัทย่อย System Integrator ที่ทำโครงการภาครัฐ มูลค่าโครงการตั้งแต่ 50 ล้านบาทถึงหลักพันล้านบาท อีกทั้งยังมีธุรกิจ Smart Facility Management ที่ให้บริการทั้งภาครัฐและเอกชน สัดส่วนงาน 50:50 ปัจจุบันมีบุคลากร Manpower กว่า 12,000 คนทั่วประเทศที่ใช้เทคโนโลยี Facial Recognition และระบบ Assignment Management เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน รวมถึงการเข้าซื้อกิจการ Contact Center ที่มีเอเยนต์ 1,200 คน เพื่อพัฒนาสู่ Advance Contact Center Service ที่ขับเคลื่อนด้วย AI Voice และ LLM โดยมุ่งเป้าให้ Agentic AI สามารถแปลงเสียงเป็นข้อความ ค้นหาคำตอบ และตอบกลับด้วยเสียงที่ใกล้เคียงมนุษย์กว่า 70% เพื่อยกระดับคุณภาพการบริการลูกค้า
สำหรับด้าน AI นายสิทธิเดชกล่าวว่า SKY เริ่มลงทุนมาตั้งแต่ 7 ปีก่อน ด้วยเม็ดเงินกว่า 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐในบริษัทชั้นนำของจีน เพื่อพัฒนา Facial Recognition และระบบ CCTV อัจฉริยะ ปัจจุบันบริษัทตั้งเป้าเพิ่มอัตรากำไรสุทธิจาก 8% ในปีนี้ขึ้นเป็นอย่างน้อย 12% ในปีหน้า โดยอาศัยการใช้เทคโนโลยีช่วยยกระดับธุรกิจบริการ และขยายไปยังตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะอินโดนีเซียที่มีประชากรมากกว่า 100 ล้านคน และมีศักยภาพทางธุรกิจสูง พร้อมเปิดโอกาสในการร่วมทุน (M&A) กับพันธมิตรต่างประเทศเพื่อเสริมความแข็งแกร่ง
ทั้งนี้ SKY ยังคงเดินหน้าเก็บกระแสเงินสดอย่างระมัดระวัง เพื่อใช้ลงทุนด้านวิจัยและพัฒนา (R&D) และรองรับการเข้าซื้อกิจการใหม่ที่เหมาะสม โดยมองว่าการลงทุนในเทคโนโลยี AI, Aviation Technology และ Smart Facility จะเป็นเสาหลักในการสร้างการเติบโตยั่งยืน ทั้งในประเทศและระดับภูมิภาคในอนาคต
นายสิทธิเดช กล่าวทิ้งท้ายว่า การเลือกลงทุนในหุ้นควรมองที่อุตสาหกรรมหรือธุรกิจที่มีอนาคต หรือที่เรียกว่า “Sunrise Industry” เป็นอันดับแรก ก่อนจะคัดเลือกบริษัทที่โดดเด่นในอุตสาหกรรมดังกล่าว โดยควรพิจารณาควบคู่กับปัจจัยสำคัญ เช่น แผนธุรกิจที่ชัดเจน การบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ และธรรมาภิบาลที่ดี ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานของนักลงทุนทุกคน
ทั้งนี้ หากมองย้อนกลับไปกว่า 10 ปี หุ้นบลูชิพของประเทศยังคงกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มเดิม อาทิ ธนาคาร พลังงาน และปูนซีเมนต์ แตกต่างจากตลาดต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ที่บลูชิพหลักเปลี่ยนแปลงไปสู่หุ้นเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ สะท้อนถึงการเติบโตและการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างเศรษฐกิจอย่างแท้จริง
“นักลงทุนไทยควรเปิดโอกาสและให้ความสำคัญกับผู้ประกอบการที่สร้างธุรกิจใหม่ ๆ เพื่อขับเคลื่อนประเทศ หากยังคงเลือกลงทุนในแนวทางอนุรักษนิยมเพียงอย่างเดียว อาจทำให้ตลาดทุนไทยไม่ก้าวหน้าไปสู่ความเปลี่ยนแปลงที่จำเป็น ดังนั้น ทุกภาคส่วนจึงควรสนับสนุนอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโต เพื่อให้ประเทศไทยเดินหน้าอย่างมั่นคงด้วยศักยภาพของผู้ประกอบการรุ่นใหม่และธุรกิจที่มีอนาคต” นายสิทธิเดช กล่าว