
“วิจิตร” มอง SET ไปต่อ แตะ 1,300 จุด ดักเก็บ 8 หุ้นกลุ่ม “โรงไฟฟ้า-ไฟแนนซ์-รพ.”
“วิจิตร” ชี้ SET ครึ่งหลังปี 68 ยังมีลุ้นทดสอบ 1,300 จุด รับแรงหนุนเศรษฐกิจ-ดอกเบี้ยขาลง แนะกลยุทธ์ดักเก็บ 8 หุ้นเด่น 3 กลุ่ม “โรงไฟฟ้า-ไฟแนนซ์-โรงพยาบาล” ราคายังไม่แพงชู GULF, GPSC, BCPG, MTC, SAWAD, TIDLOR, SGC และ BH เป็นตัวเลือกน่าสะสมลงทุน
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด เปิดเผยในงาน Market’s NEW Magnet : “คัดหุ้นเด่น..เค้นหุ้นปัง…ที่ปลอดภัย..?” จัดโดย ข่าวหุ้นธุรกิจ วันที่ 16 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา ว่าหากถามถึงแนวโน้ม SET Index ครึ่งหลังปี 2568 ยังมีโอกาสปรับขึ้นไปทดสอบระดับ 1,300 จุดได้ โดยปัจจัยสำคัญ คือ โมเมนตัมการลงทุนที่เริ่มกลับมา ปัจจุบันนักลงทุนเริ่มกลับมามีความกระตือรือร้นในหุ้นไทยและเกิดภาวะ “กลัวตกขบวน” ทำให้แรงซื้อทยอยกลับเข้ามาในตลาด
ทั้งนี้ หากมองในเชิงพื้นฐานดัชนีหุ้นไทยยังขับเคลื่อนด้วย 2 ปัจจัยหลักคือ กำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ซึ่งยังไม่ได้มีการปรับลดอย่างรุนแรง และค่า P/E ที่นักลงทุนยอมรับการซื้อขายในระดับสูงขึ้นได้ แสดงถึงความต้องการลงทุนที่มากขึ้น ซึ่งเป็นแรงหนุนสำคัญที่ทำให้ดัชนีมีโอกาสขยับขึ้นสู่ระดับ 1,300 จุด
สำหรับปัจจัยต่างประเทศยังถือว่าเป็นบวกต่อบรรยากาศการลงทุน โดยนโยบายการเงินและการคลังในหลายประเทศยังคงผ่อนคลายและเอื้อต่อเศรษฐกิจ อาทิ สหรัฐฯ เผยตัวเลขแรงงานและการผลิตออกมาอ่อนกว่าคาด แต่กลับเพิ่มโอกาสที่ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดดอกเบี้ยในครึ่งปีหลังอย่างน้อย 2 ครั้ง
ส่วน ยุโรปได้เริ่มลดดอกเบี้ยไปแล้วและอาจปรับลดเพิ่มเติมเล็กน้อยในช่วงปลายปี ขณะที่ ญี่ปุ่น คาดว่าจะรอจังหวะดำเนินนโยบายในช่วงปลายปีเช่นกัน
ด้านจีนเศรษฐกิจชะลอตัวลงชัดเจน โดย GDP ปีนี้คาดว่าจะขยายตัวเพียงราว 4% กลางๆ ลดลงจาก 5% ในปีก่อน ขณะที่ ตัวเลขการกู้ยืมอ่อนแอที่สุดในรอบ 20 ปี แม้รัฐบาลจีนจะออกมาตรการกระตุ้นขนาดใหญ่ไปแล้ว แต่ยังมีแนวโน้มที่จะออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อประคองเศรษฐกิจ ซึ่งทั้งหมดนี้ยังเป็นปัจจัยที่เอื้อต่อการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก
สำหรับประเทศไทย ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ปรับลดดอกเบี้ยไปแล้ว และยังมีโอกาสลดได้อีกหากเศรษฐกิจออกมาต่ำกว่าที่ภาครัฐและแบงก์ชาติตั้งเป้าไว้ โดยรวมทั้งนโยบายการเงินและการคลังยังสนับสนุนต่อโมเมนตัมการลงทุน
“ตลาดหุ้นไทยอาจไม่ได้ขึ้นมาเป็นผู้นำ แต่ก็มีโอกาสฟื้นตัวได้ดีกว่าช่วงที่ผ่านมา และนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศเริ่มทยอยเข้ามาสะสมหุ้นมากขึ้น” นายวิจิตร กล่าว
ส่วนประเด็นหากถามหากลุ่ม หุ้นดี หุ้นเด่น หุ้นเติบโตและปลอดภัย ให้เลือกอยู่หรือไม่เชื่อว่ายังมีอยู่ เพียงแต่ในจังหวะที่ดัชนีปรับขึ้นมาระดับนี้ อาจจะหายากขึ้นเล็กน้อย
ดังนั้น การลงทุนไม่จำเป็นต้องหาหุ้นที่ดีทุกด้านเสมอไปเพื่อหวังผลตอบแทนจากกำไร บางครั้งหุ้นที่เคยมีผลประกอบการไม่ดีมาก่อน แต่กำลังเริ่มมีโมเมนตัมฟื้นตัว ก็สามารถเป็นตัวดึงตลาดขึ้นได้ โดยเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่ (Big Cap) ที่อยู่ในโซนราคาต่ำ
กล่าวอีกอย่าง คือ หุ้นที่เป็นที่สมบูรณ์แบบดีทุกด้าน ถือว่าน่าลงทุนที่สุดก็จริง แต่ในความเป็นจริง นักลงทุนอาจไม่จำเป็นต้องรอหุ้นแบบนั้นเสมอไป หากเจอหุ้นที่เริ่มฟื้นและยังอยู่ในระดับราคาต่ำที่ตลาดยังมองไม่เห็น ก็ถือว่าเป็นจังหวะการลงทุนที่ดีเช่นกัน
ส่วนกลยุทธ์การลงทุนหุ้นไทยในช่วงครึ่งหลังปี 2568 แม้ภาพรวมเศรษฐกิจอาจชะลอตัวลงบ้าง แต่ยังมีแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและทิศทางดอกเบี้ยขาลง สำหรับธีมการลงทุนที่น่าสนใจในช่วงครึ่งปีหลัง มองไว้ 3 กลุ่มหลัก
กลุ่มแรก คือ หุ้นโรงไฟฟ้า ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับราคาที่ต่ำและมีศักยภาพในการนำตลาดขึ้น โดยเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่ที่มีบทบาทต่อดัชนีอย่าง บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/2568 ออกมาดี อีกทั้งมองว่า มีโอกาสกลับมาเป็นแรงขับเคลื่อนดัชนีในระยะต่อไป และยังมีแรงหนุนจากการลงทุน Data Center รวมถึงธุรกิจใหม่ ๆ ที่เสริมเข้ามา
บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ก็เป็นอีกตัวที่น่าจับตา หลังผลประกอบการไตรมาส 2 ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ขณะที่ หากนักลงทุนสนใจหุ้นโรงไฟฟ้าขนาดกลาง บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) หรือBCPG ถือว่าน่าสนใจเช่นกัน เนื่องจากการปรับค่า “ความพร้อมจ่าย” ช่วงกลางปีจะช่วยหนุนกำไรครึ่งปีหลัง และมีโอกาสเห็นราคาขยับขึ้นไปแตะระดับ 10 บาทได้ไม่ยาก
กลุ่มที่สอง คือ หุ้นไฟแนนซ์ แม้เศรษฐกิจโดยรวมยังถูกกดดัน แต่ผลประกอบการไตรมาส 2 ของหลายบริษัทออกมาดีกว่าคาด โดยเฉพาะด้านสินเชื่อและคุณภาพสินทรัพย์ที่ยังอยู่ในเกณฑ์ดี หุ้นที่โดดเด่น เช่น บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน)หรือ MTC
บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD ซึ่งเคยซื้อขายที่ Valuation สูงมากในอดีต แต่ปัจจุบันราคาลงมาน่าสนใจ บางตัวมีค่า P/E ต่ำกว่า 10 เท่าแล้ว รวมไปถึงแนะนำ บริษัท ติดล้อ โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR
บริษัท เอสจี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ SGC รายงานกำไรสุทธิไตรมาสล่าสุดกลับมาทะลุระดับ 100 ล้านบาท เติบโตต่อเนื่องทั้งจากไตรมาสก่อนหน้า และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี รวมถึงการปรับกลยุทธ์เข้าสู่ธุรกิจใหม่ด้านสินเชื่อสมาร์ทโฟน
สำหรับอีกกลุ่มคือ หุ้นโรงพยาบาล โดยมองว่าปัจจุบัน Valuation กลับลงมาอยู่ในโซนที่ต่ำเมื่อเทียบกับอดีต จากเดิมที่เคยซื้อขายกันกว่า 30 เท่า ปัจจุบันอยู่ในระดับเพียง 20 กว่าถือว่ามีโอกาสรีบาวด์ โดยเฉพาะ บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH ที่เริ่มเห็นแรงซื้อกลับเข้ามาอีกครั้ง จึงนับเป็นจังหวะที่สามารถทยอยลงทุนได้