
“กรุงไทย” ชี้เงินเฟ้อไทย ส.ค. แผ่วติดลบ 0.79% เหตุราคาพลังงาน-เกษตรกดดัน
กรุงไทย มองอัตราเงินเฟ้อเดือน ส.ค. 68 อยู่ที่ ลบ 0.79% คาดเงินเฟ้อไทยยังอ่อนแรง ตามทิศทางราคาน้ำมันที่ต่ำท่ามกลางกำลังซื้อที่แผ่วลง และการไหลบ่าของสินค้านำเข้าราคาถูกจากต่างประเทศ
ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้ (8 ก.ย.68) ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและธุรกิจของธนาคารกรุงไทย หรือ Krungthai COMPASS คาดอัตราเงินเฟ้อทั่วไป เดือน ส.ค. 68 อยู่ที่ ลบ 0.79% ติดลบสูงขึ้นจากเดือนก่อน ซึ่งอยู่ที่ -0.70% จากการลดลงของระดับราคาสินค้าในหมวดอาหารสด โดยเฉพาะกลุ่มผักและผลไม้สด รวมถึงราคาพลังงานที่ต่ำกว่าปีก่อน ตามทิศทางราคาพลังงานในตลาดโลกที่ลดลง ด้านอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 0.81% ใกล้เคียงกับเดือนก่อนที่ 0.84%
Krungthai COMPASS มองเงินเฟ้อของไทยขาดแรงส่ง หลังอัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบต่อเนื่อง 5 เดือน คาดเงินเฟ้อไทยในช่วงที่เหลือของปี 68 ยังคงอ่อนแรง ทั้งจากทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวลง ตามการขยายกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่องของกลุ่ม OPEC+ ขณะที่อุปสงค์โดยรวมถูกกดดันจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่แผ่วลง ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มอ่อนแรง ซึ่งจะกดดันกำลังซื้อ
รวมถึงการไหลบ่าของสินค้านำเข้าราคาถูกจากนอกประเทศ ปัจจัยเหล่านี้จะลดทอนแรงส่งที่มีต่อเงินเฟ้อของไทยต่อไป อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือน ส.ค. 68 อยู่ที่ -0.79% จากระดับราคาพลังงานและสินค้าหมวดอาหารสดที่ปรับตัวลงเป็นสำคัญ
ขณะที่ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือน ก.ค. อยู่ที่ -0.79% ติดลบจากเดือนก่อนซึ่งอยู่ที่ ลบ 0.70% และถือเป็นการติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ห้า สอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ซึ่งมองไว้ที่ ลบ 0.70% ปัจจัยหลักยังคงมาจากระดับราคาสินค้าในหมวดอาหารสด
โดยเฉพาะกลุ่มผักสดและผลไม้สดที่ลดลงต่อเนื่อง โดยลดลง 14.9% และ 13.30% ตามลำดับ จากผลผลิตในตลาดที่เพิ่มขึ้น และระดับราคาพลังงานที่ปรับตัวลง 5.55% จากสถานการณ์น้ำมันในตลาดโลก ซึ่งกลุ่ม OPEC+ มีแผนพิจารณาเพิ่มกำลังการผลิตเป้าหมายในเดือน ต.ค. 68 ในการประชุมวันที่ 7 ก.ย. 68 นี้
ระดับสินค้าหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ลดลง 0.08% รายการสินค้าที่ระดับราคาปรับลดลง ได้แก่ กลุ่มผักสด กลุ่มผลไม้สดกลุ่มไข่ และผลิตภัณฑ์นม เป็นต้น ในขณะที่กลุ่มที่ราคาสินค้าปรับเพิ่มขึ้น ได้แก่ กลุ่มข้าว แป้ง และผลิตภัณฑ์จากแป้ง เป็นต้น
เมื่อพิจารณาการเปลี่ยนแปลงเทียบรายเดือน ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปเดือน ส.ค. ลดลง 0.01% จากเดือน ก.ค. ตามระดับราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ที่ลดลง 0.15% โดยกลุ่มสินค้าที่ระดับราคาปรับลดลง ได้แก่ กลุ่มข้าว แป้ง และผลิตภัณฑ์จากแป้ง จากการลดลงของราคาข้าวสารเหนียว และขนมอบ กลุ่มเนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ และสัตว์น้ำ จากการลดลงของราคาเนื้อสุกรและไก่สด กลุ่มผักสด จากการลดลงของราคาต้นหอม คะน้า เป็นต้น ส่วนกลุ่มที่ระดับราคาปรับเพิ่มขึ้น ได้แก่ กลุ่มอาหารสำเร็จรูป จากการเพิ่มขึ้นของราคาอาหารโทรสั่ง (Delivery) อาหารว่าง และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เป็นต้น
ด้านอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน อยู่ที่ 0.81% ทรงตัวใกล้เคียงกับเดือนก่อนที่ 0.84% หากพิจารณาการเปลี่ยนแปลงเทียบรายเดือน ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน เพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ 0.11%
Krungthai COMPASS มองทิศทางเงินเฟ้อไทยอ่อนแอ หลังอัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบต่อเนื่อง 5 เดือน ส่วนหนึ่งจากปัจจัยด้านอุปทานที่ส่งผลให้ราคาพลังงานและราคาสินค้าปรับตัวลดลง แม้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่คำนวณจากสินค้าและบริการประมาณ 70% ของตะกร้าเงินเฟ้อยังเป็นบวก
สะท้อนว่าไทยยังไม่เข้าสู่ภาวะเงินฝืด แต่อัตราเงินเฟ้อไทยทั่วไปยังแผ่วลงต่อเนื่อง ปัจจัยหลักจากราคาพลังงานที่ต่ำกว่าปีก่อน โดยราคาขายน้ำมันค้าปลีกเฉลี่ยเดือน ส.ค. 68 ลดลงจากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน อาทิ E85 (-15.6%) และ Gasohol91 (-11.4%) เป็นต้น ทั้งนี้ ระดับราคาพลังงานระยะข้างหน้ามีทิศทางลดลง จากแนวโน้มอุปทานน้ำมันในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้นตามการขยายกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่องของกลุ่ม OPEC+ ประกอบกับอุปสงค์น้ำมันโดยรวมถูกกดดันจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่แผ่วลง
นอกจากนี้ ราคาพืชผลทางการเกษตร ที่มีทิศทางลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ตามปริมาณผลผลิตที่เพิ่มขึ้นจากภาวะอากาศที่เอื้ออำนวย อาทิ มะนาว (-60.4%) และ คะน้า (-47.4%) สอดคล้องกับมุมมองของ สศก. ที่ประเมินว่าราคาสินค้าเกษตรในปี 68 หลายชนิดมีแนวโน้มลดลงด้วย ปัจจัยหนุนจากสภาพภูมิอากาศ นอกจากนี้ ราคาสินค้าเกษตรที่แผ่วลงยังสอดคล้องกับทิศทางราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกที่ปรับตัวลงจากปีที่ผ่านมา หลังภาวะชะงักงันของอุปทานคลี่คลายลง
ขณะที่ความต้องการในตลาดโลกอ่อนแอ ส่วนหนึ่งได้รับแรงกดดันจากสงครามการค้าคาดเงินเฟ้อไทยในช่วงที่เหลือของปี 68 ยังคงอ่อนแรง ทั้งจากทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวลง ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มแผ่วลงซึ่งจะกดดันกำลังซื้อ รวมถึงการไหลบ่าของสินค้าราคาถูกจากนอกประเทศต่างลดทอนแรงส่งที่มีต่อเงินเฟ้อของไทยต่อไป