
“ชัยยศ” ลุ้น SET ทดสอบ 1,300 จุด ชู BGRIM-GPSC รับ “บาทแข็ง” กดหนี้ลด
“บล.กรุงศรี” ประเมินดัชนีหุ้นไทยยังมีโอกาสขยับแตะ 1,300 จุด หนุนด้วยเงินทุนต่างชาติจากเฟดมีแนวโน้มลดดอกเบี้ย 0.25% ขณะที่บาทแข็งเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นนำเข้า-หนี้ดอลลาร์ แต่กดดันกลุ่มส่งออก
นายชัยยศ จิวางกูร ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยในรายการ “ข่าวหุ้นเจาะตลาด” วันนี้ (10 ก.ย.68) ว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยยังมีแนวโน้มขยับขึ้นไปทดสอบระดับ 1,300 จุด แม้ที่ผ่านมาไม่สามารถยืนเหนือแนวต้านดังกล่าวได้ เนื่องจากปัจจัยหนุนจาก Fund Flow ต่างชาติยังคงมีความชัดเจน
โดยเฟดมีแนวโน้มสูงที่จะปรับลดดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมสัปดาห์หน้า หลังตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชนของสหรัฐฯ ออกมาอ่อนแอต่อเนื่อง สะท้อนภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และกระตุ้นการโยกย้ายเงินลงทุนจากหุ้นเทคโนโลยีและหุ้นเติบโต กลับเข้าสู่หุ้นมูลค่า (Value Play) เช่น หุ้นกลุ่มธนาคารและการเงิน
ทั้งนี้ หากเฟดเดินหน้าลดดอกเบี้ยจะกระตุ้นให้เม็ดเงินไหลจากตลาดโลกกลับเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งและได้อานิสงส์จากทิศทางดอกเบี้ยขาลง ขณะเดียวกันค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้จะเป็นบวกต่อ Fund Flow และผู้ประกอบการที่มีหนี้สกุลดอลลาร์ รวมถึงผู้ประกอบการนำเข้าสินค้าไอที แต่กลับสร้างแรงกดดันต่อบริษัทส่งออก เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และอาหาร ซึ่งรายได้จากการส่งออกที่แปลงเป็นเงินบาทมีโอกาสลดลง
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน นายชัยยศ แนะนำเลือกหุ้นที่ได้ประโยชน์จากบาทแข็งและต้นทุนพลังงานที่อยู่ในระดับต่ำ ได้แก่ GPSC และ BGRIM ซึ่งมีหนี้เงินกู้สกุลดอลลาร์และมีโรงไฟฟ้า SPP ที่ได้อานิสงส์จากราคาก๊าซที่อ่อนตัว นอกจากนี้ หุ้นในกลุ่มไฟแนนซ์ เช่น KTC และ MTC เป็นอีกกลุ่มที่น่าสนใจในภาวะดอกเบี้ยขาลง รวมถึงหุ้นในธีมการเลือกตั้งและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ เช่น กลุ่มค้าปลีก ขณะที่กลุ่มขนส่งทางรางอย่าง BTS และ BEM อาจได้แรงหนุน หากรัฐบาลยุติโครงการค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ที่มีเงื่อนไขการแชร์รายได้ซึ่งเคยกดดันหุ้นก่อนหน้านี้
ขณะที่ปัจจัยการเมือง นักลงทุนต่างชาติยังคงติดตามการทำงานของรัฐบาลใหม่ โดยมองว่าคณะรัฐมนตรีของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล มีบุคคลที่มีชื่อเสียงและผลงานเป็นที่ยอมรับ ขณะที่นโยบายด้านการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกมาอย่างต่อเนื่องช่วยเพิ่มความเชื่อมั่น แม้นักลงทุนจะยังรอดูความชัดเจนในระยะกลางเกี่ยวกับเสถียรภาพและทิศทางของรัฐบาลชุดต่อไป แต่การไหลเข้าของ Fund Flow ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมจนถึงปัจจุบันยังสะท้อนว่าเม็ดเงินดังกล่าวเป็นการลงทุนระยะกลางถึงยาว ไม่ใช่เพียง Hot Money ระยะสั้น
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังจับตาความเชื่อมโยงระหว่างกระแสเงินที่ไหลเข้าสู่ตลาดตราสารหนี้กับตลาดทุน โดยแม้จะมีเงินไหลเข้าตลาดตราสารหนี้นับหมื่นล้านบาทในบางวัน แต่เงินทุนในตลาดหุ้นยังเข้าสู่เป็นรายตัวและไม่ใช่ปริมาณมหาศาล สะท้อนว่าต่างชาติยังรอจังหวะเข้าซื้อเพิ่มเติมเมื่อเห็นความชัดเจนของโอกาสทางเศรษฐกิจและการเมืองในอนาคต