
“เวียดนาม” เร่งปฏิรูปโครงสร้างไฟฟ้าใหม่ ชูอัตราค่าคงที่-คิดตามการใช้ คาดมีผลปี 69
เวียดนามปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้าใหม่แบบ 2 ส่วน คิดค่าคงที่ตามกำลังไฟและการใช้จริง เริ่มทดลองกับผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ต้นปี 69 และขยายทั่วประเทศปี 70 คาดช่วยสะท้อนต้นทุนจริง ลดความบิดเบือนค่าไฟ และเปิดโอกาสลงทุนพลังงานสะอาด
ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้ (22 ก.ย.68) สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ นครโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าเวียดนาม ได้เสนอแนวทางการปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าใหม่โดยกำหนดให้ทดลองใช้อัตราค่าไฟฟ้าแบบสองส่วน (Two-part electricity tariff) สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ในช่วงต้นปี 2569 และมีแผนขยายผลทั่วประเทศภายในเดือนสิงหาคม 2570
แนวทางดังกล่าวจัดทำขึ้นภายใต้ร่างข้อเสนอที่กำลังเปิดให้สาธารณชนแสดงความคิดเห็น ซึ่งกำหนดให้อัตราค่าไฟฟ้าแบ่งออกเป็นสององค์ประกอบ คือ ค่าธรรมเนียมคงที่ตามกำลังการใช้ไฟที่จดทะเบียน (Fixed fee based on registered capacity) และค่าใช้จ่ายตามปริมาณการใช้จริง (Variable charge based on actual energy consumption) อันเป็นการปรับปรุงจากระบบปัจจุบันที่เรียกเก็บแบบส่วนเดียวซึ่งไม่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงของภาคไฟฟ้า โดยเฉพาะต้นทุนด้านการบำรุงรักษาโครงสร้างพื้นฐาน
โครงการนำร่องจะดำเนินการเป็นสี่ระยะ เริ่มจากระยะที่ 1 (ปัจจุบัน – กลางปี 2569) ทดลองใช้กับลูกค้าอุตสาหกรรมที่ทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโดยตรง (Direct power purchase agreements: DPPA) กับผู้ผลิตพลังงานหมุนเวียน รวมถึงผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ในภาคการผลิตและธุรกิจ ต่อเนื่องด้วยระยะที่ 2 (มกราคม – มิถุนายน 2569) ออกใบแจ้งหนี้คู่ขนานให้ผู้เข้าร่วมโครงการ โดยไม่ต้องชำระเงินเพื่อให้คุ้นเคยกับระบบใหม่ พร้อมทั้งให้คำแนะนำเกี่ยวกับโครงสร้างราคา
จากนั้นจะเข้าสู่ระยะที่ 3 (กรกฎาคม 2569 – กรกฎาคม 2570) การทดลองใช้จริงเพื่อติดตามพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้า การเปลี่ยนแปลงของอุปสงค์ รายได้จากการจำหน่าย และศึกษาแนวทางปรับปรุงโครงสร้างราคา ก่อนที่จะเข้าสู่ระยะที่สี่ (ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2570 เป็นต้นไป) พิจารณาขยายการใช้อัตราค่าไฟฟ้าแบบสองส่วนไปยังกลุ่มผู้ใช้อื่น ๆ โดยการไฟฟ้าเวียดนาม (Vietnam Electricity: EVN) จะเป็นผู้จัดทำข้อเสนอโครงสร้างราคาตามแผนและนำเสนอต่อกระทรวงเพื่อดำเนินการอย่างเป็นทางการ
ในส่วนของการนำร่อง นาย Nguyen Anh Tuan ผู้อำนวยการใหญ่การไฟฟ้าเวียดนาม (General Director) เห็นว่าควรเริ่มต้นกับลูกค้าขนาดใหญ่ที่ใช้ไฟฟ้าไม่น้อยกว่า 200,000 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อเดือน และเชื่อมต่อระบบที่แรงดันตั้งแต่ 22 กิโลโวลต์ขึ้นไป ซึ่งคาดว่าจะมีราว 7,000 กิจการ โดยส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโดยตรง
ทั้งนี้ ลูกค้าครัวเรือนจะยังไม่ถูกรวมอยู่ในระยะเริ่มต้น เนื่องจากจำเป็นต้องลงทุนติดตั้งระบบมิเตอร์ใหม่ ขณะที่นาย Nguyen Hong Dien รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า ระบุว่า ในระยะเริ่มต้นกลไกดังกล่าวจะบังคับใช้กับผู้ใช้ไฟรายใหญ่ทั้งหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น และจะมีการนำระบบอัตราค่าไฟฟ้าที่แตกต่างกันตามช่วงเวลาการใช้ไฟ (peak and off-peak pricing) มาใช้ในระยะถัดไปเพื่อเสริมสร้างความเป็นธรรมยิ่งขึ้น
แนวทางการกำหนดอัตราค่าไฟฟ้าแบบสองส่วนถือเป็นมาตรฐานที่ประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลกนำมาใช้แล้ว เนื่องจากช่วยสร้างแรงจูงใจในการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ลดความจำเป็นในการลงทุนสร้างกำลังการผลิตใหม่ รวมทั้งบรรเทาความกดดันด้านการขยายโครงข่ายไฟฟ้า
นาย Nguyen Huy Hoach นักวิชาการจากสถาบันพลังงาน เห็นว่ากลไกนี้ จะช่วยสร้างความเป็นธรรมระหว่างผู้ใช้ไฟในภาคอุตสาหกรรมและการพาณิชย์ ขณะที่นาย Ngo Duc Lam ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน เน้นย้ำว่าการจัดเก็บค่าไฟฟ้าแบบสองส่วนถือเป็นกลไกสำคัญต่อการดำเนินสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโดยตรง และเป็นรากฐานสำคัญในการก้าวสู่ตลาดไฟฟ้าที่มีการแข่งขันอย่างเสรีในอนาคตของเวียดนาม
ขณะที่ เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2568 กรมการเมืองแห่งคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม (Politburo) ได้ออกมติหมายเลข 70-NQ/TW วางกรอบยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงทางพลังงานของประเทศจนถึงปี 2573 และกำหนดวิสัยทัศน์ไปจนถึงปี 2588 มติดังกล่าวได้มอบหมายให้รัฐบาล กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งดำเนินมาตรการที่จำเป็นเพื่อสร้างระบบพลังงานที่มีเสถียรภาพ โปร่งใส และรองรับการพัฒนาเศรษฐกิจในระยะยาว หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ถูกผลักดัน คือ การนำโครงสร้างค่าไฟฟ้าแบบสองส่วนมาใช้ ตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายไฟฟ้าฉบับแก้ไขปี 2567 และกฤษฎีกาหมายเลข 146/2025/NĐ-CP
ปัจจุบัน เวียดนามยังคงใช้โครงสร้างค่าไฟฟ้าแบบส่วนเดียว โดยคิดค่าไฟจากปริมาณการใช้เพียงอย่างเดียว ซึ่งไม่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงของภาคไฟฟ้า ทั้งในด้านค่าเสื่อมราคาของอุปกรณ์ สายส่ง และสถานีไฟฟ้าย่อย การเปลี่ยนมาใช้โครงสร้างแบบสองส่วนจึงมีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหานี้ โดยแบ่งการเรียกเก็บเป็นสององค์ประกอบ ได้แก่ 1.) ค่าธรรมเนียมคงที่ตามกำลังการใช้ไฟที่จดทะเบียน และ 2.) ค่าใช้จ่ายตามปริมาณการใช้จริง แม้ในกรณีที่ไม่ได้ใช้งานจริงผู้ใช้ก็ยังต้องชำระค่ากำลังไฟฟ้าส่วนนี้ ซึ่งทำให้ต้นทุนถูกสะท้อนอย่างตรงไปตรงมา ไม่ถูกผลักภาระไปยังระบบไฟฟ้าและผู้ใช้ทั้งหมดเหมือนที่ผ่านมา
กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าได้กำหนดแผนการทดลองใช้อัตราค่าไฟฟ้าแบบสองส่วนอย่างเป็นระบบ แบ่งออกเป็น 4 ระยะ โดยเริ่มจากระยะที่ 1 (ปัจจุบัน – กลางปี 2569) ทดลองใช้กับผู้ใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่ทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโดยตรง (DPPA) กับผู้ผลิตพลังงานหมุนเวียน พร้อมเก็บข้อมูลเพื่อพัฒนาสูตรคำนวณให้เหมาะสม ต่อด้วยระยะที่ 2 (มกราคม – มิถุนายน 2569) ออกใบแจ้งหนี้จำลองโดยไม่ต้องชำระจริง ควบคู่กับการให้ข้อมูลและคำแนะนำแก่ผู้เข้าร่วม จากนั้นในระยะที่ 3 (กรกฎาคม 2569 – กรกฎาคม 2570) จะเป็นการทดลองใช้จริงเต็มรูปแบบเป็นเวลา 1 ปี เพื่อติดตามพฤติกรรมการใช้ไฟ ความต้องการของผู้บริโภค และผลกระทบต่อรายได้ของผู้ให้บริการ ก่อนเข้าสู่ระยะที่ 4 (ตั้งแต่สิงหาคม 2570 เป็นต้นไป) ซึ่งจะเป็นการขยายผลไปยังผู้ใช้ไฟฟ้ากลุ่มอื่น ๆ และปรับโครงสร้างตามผลการประเมินที่ได้รับ
การนำระบบค่าไฟฟ้าแบบสองส่วนมาใช้ถูกมองว่าเป็นก้าวสำคัญในเชิงเศรษฐกิจและการค้า เนื่องจากจะช่วยสร้างความโปร่งใสและความเป็นธรรม โดยเฉพาะต่อผู้ใช้งานภาคอุตสาหกรรมและการค้า ลดการบิดเบือนต้นทุนและความเหลื่อมล้ำด้านพลังงาน อีกทั้งยังสร้างแรงจูงใจให้เกิดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ลดแรงกดดันจากการลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าและขยายโครงข่ายใหม่ ขณะเดียวกันยังเป็นการวางรากฐานสู่ ตลาดไฟฟ้าที่มีการแข่งขันมากขึ้น และเปิดโอกาสให้นักลงทุนพลังงานหมุนเวียนและผู้ประกอบการในภาคไฟฟ้ามีบทบาทมากขึ้น
ในภาพรวม มาตรการนี้ไม่ได้เป็นเพียงการปรับทางเทคนิค หากแต่เป็นส่วนหนึ่งของ ยุทธศาสตร์ความมั่นคงทางพลังงานแห่งชาติ ที่สอดรับกับมติหมายเลข 70-NQ/TW และเป้าหมายการพัฒนาระยะยาวของเวียดนาม ซึ่งมุ่งสร้างระบบพลังงานที่มั่นคง ยั่งยืน โปร่งใส และแข่งขันได้มากยิ่งขึ้นในเวทีภูมิภาคและระดับโลก
ส่วนมาตรการทดลองใช้อัตราค่าไฟฟ้าแบบสองส่วนของเวียดนามจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ประกอบการไทยที่มีการลงทุนในเวียดนาม โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานสูง เช่น ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และอาหารแปรรูป เนื่องจากโครงสร้างค่าไฟฟ้าใหม่สะท้อนต้นทุนจริงมากขึ้น ผู้ประกอบการอาจต้องเผชิญกับภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นในระยะสั้น ขณะเดียวกันภาคอุตสาหกรรมเวียดนามโดยรวมจะมีความโปร่งใสและคาดการณ์ได้มากขึ้น อาจทำให้คู่แข่งท้องถิ่นมีความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น และสร้างแรงกดดันต่อห่วงโซ่อุปทานที่เกี่ยวข้องกับผู้ประกอบการไทย
อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการไทยสามารถปรับตัวได้ด้วยการเร่งใช้เทคโนโลยีการจัดการพลังงานและระบบประหยัดไฟฟ้าในโรงงาน รวมถึงการทบทวนสัญญาทางการค้าให้สอดรับกับค่าไฟฟ้าส่วนคงที่ (capacity charge) นอกจากนี้ยังควรพิจารณาความร่วมมือกับผู้ผลิตพลังงานหมุนเวียนในเวียดนาม เพื่อลดความเสี่ยงด้านต้นทุนและใช้ประโยชน์จากโครงสร้างใหม่ที่เอื้อต่อการลงทุนพลังงานสะอาด
ในเชิงโอกาส ระบบค่าไฟฟ้าแบบสองส่วนจะช่วยสร้างเสถียรภาพให้กับธุรกิจพลังงานหมุนเวียนและบริการด้านเทคโนโลยีจัดการพลังงาน ซึ่งเปิดทางให้ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะกลุ่มพลังงานและดิจิทัลโซลูชัน ขยายธุรกิจเข้าสู่เวียดนามมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นโอกาสในการยกระดับความร่วมมือด้านพลังงานสะอาดในระดับอาเซียน ซึ่งจะช่วยให้ไทยสามารถเสริมความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจและการค้าพลังงานในระยะยาวได้อย่างมีนัยสำคัญ