
CGSI ชี้ภาษีตอบโต้สหรัฐกดดัน PET เอเชีย เสี่ยงส่งออกลด-สต๊อกพุ่ง
CGSI ประเมินภาษีตอบโต้ของสหรัฐต่อ PET และ PET รีไซเคิล หนุนผู้ผลิตในประเทศแข่งขันได้มากขึ้น แต่กระทบผู้ส่งออกเอเชีย โดยเฉพาะไทย เวียดนาม และอินเดีย เสี่ยงสต็อกล้น-ผลักดันสเปรดต่ำ
ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด หรือ CGSI เปิดเผยบทวิเคราะห์อ้างอิงข้อมูลจาก Chemical Market Analytics (CMA) ว่าตลาด PET (polyethylene terephthalic) ในสหรัฐอเมริกา ครอบครองโดยกลุ่มบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่ม คิดเป็น 71% ของความต้องการรวมในครึ่งปีแรก 2568 รองลงมาคือบรรจุภัณฑ์อาหาร 7% โดยปริมาณความต้องการ PET อยู่ที่ประมาณ 4 ล้านตันต่อปี ขณะที่กำลังการผลิตในประเทศอยู่เพียง 2.6-2.7 ล้านตันต่อปี หมายความว่ากว่าหนึ่งในสามยังต้องพึ่งพาการนำเข้า
โดย CMA คาดการณ์ว่าสหรัฐจะนำเข้า PET เพิ่มขึ้น 7.5% เมื่อเทียบกับปีก่อนในปี 2568 โดยเอเชียเป็นตลาดหลักในการส่งออก PET ไปยังสหรัฐ คิดเป็น 70% ของการนำเข้าทั้งหมด ตามด้วยเม็กซิโก 16% และแคนาดา 5% อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2568 รัฐบาลสหรัฐภายใต้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารเพิกถอนการยกเว้นภาษีตอบโต้ (reciprocal tariff) สำหรับ PET และ PET รีไซเคิล มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 8 กันยายน 2568 เป็นต้นมา
นักวิเคราะห์ของ CGSI ระบุว่าประเทศที่ถูกเก็บภาษีสูงจะเสียเปรียบในการแข่งขัน โดยอินเดียถูกเก็บภาษี 50% อินโดนีเซีย 19% ไทย 19% และเวียดนาม 20% ซึ่งคาดว่าจะได้รับผลกระทบมากที่สุด ขณะที่เม็กซิโกและเวียดนามยังมีความได้เปรียบภายใต้โครงสร้างภาษีปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา (USTR) ได้เริ่มกระบวนการปรึกษาหารือสาธารณะเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2568 ก่อนการทบทวนข้อตกลงการค้า USMCA ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2569 ซึ่งจะเพิ่มความไม่แน่นอนต่อทิศทางตลาด PET
ด้านการผลิต ฝ่ายวิเคราะห์คาดว่าอัตราการใช้กำลังการผลิตของผู้ผลิตในสหรัฐจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ยเป็น 75% ในปี 2568 และ 81% ในปี 2569 จากความได้เปรียบทางการแข่งขัน แม้ว่าสหรัฐจะไม่มีแผนขยายกำลังการผลิตเพิ่มเติม หลังยกเลิกโครงการ Corpus Christi ขนาด 1.1 ล้านตันต่อปีในรัฐเท็กซัส และปิดโรงงานขนาดเล็ก Cedar Creek 170,000 ตันต่อปี
สำหรับผู้ผลิต PET ในเอเชีย คาดว่าจะเผชิญสภาพแวดล้อมที่ท้าทายมากขึ้น เนื่องจากการส่งออกไปสหรัฐลดลงอาจทำให้ปริมาณสต็อกสะสมเพิ่มขึ้น แม้ว่าจะมีการจำกัดการเพิ่มกำลังการผลิต แต่สเปรด PET ในเอเชียตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันยังอยู่ในระดับต่ำที่ 66 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ขณะที่ PET แม้อาจหลุดจากวัฏจักรขาลงเร็วกว่าพอลิเมอร์ชนิดอื่น แต่ CGSI แนะนำลดน้ำหนักการลงทุนในกลุ่มปิโตรเคมีไทย เนื่องจาก PE (polyethylene) และ PP (polypropylene) ยังอยู่ในวัฏจักรขาลงจนถึงหลังปี 2571 โดยความต้องการพลาสติกต่ำกว่าคาดเป็นปัจจัยกดดันหลัก ส่วนความเสี่ยงด้านบวกจะมาจากต้นทุนวัตถุดิบที่อาจลดลง