“อินโนเวสท์ เอกซ์” คาด SET สิ้นปี 68 ทดสอบ 1,400 จุด แนะเก็บ 5 หุ้นพื้นฐานแกร่ง

บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ประเมินภาพรวมลงทุนไตรมาส 4/68 ตลาดเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น ประเมินกรอบเป้าหมายดัชนี SET ปี 2568 ที่ 1,350–1,400 จุด พร้อมคัดเลือกหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่ง คือ AP-CENTEL-DIF-HMPRO-MTC


บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX) เรือธงด้านการลงทุนภายใต้กลุ่มเอสซีบีเอกซ์ (SCBX Group) ประเมินภาพรวมการลงทุนไตรมาส 4/2568 ว่า ทิศทางตลาดเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น มองเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มสดใสขึ้นหลังจากมาตรการภาษีศุลกากรสหรัฐฯ ประกาศอัตราภาษีน้อยและช้ากว่าที่เคยประกาศไว้ ณ เดือน เมษายน ด้านทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐเริ่มผ่อนคลายมากขึ้น แต่ต้องจับตาเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงที่จะชะลอตัว กดดันจากการส่งออกและภาคเศรษฐกิจในประเทศที่จะชะลอลง แต่เสถียรภาพการเมืองรวมถึงทีมเศรษฐกิจใหม่และนโยบายที่จะออกมาเป็นความหวังของเศรษฐกิจไทย

ด้าน นายสิทธิชัย ดวงรัตนฉายา หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า ประเมินกรอบเป้าหมายดัชนี SET ปี 2568 ที่ 1,350–1,400 จุด โดยมองว่าระดับต่ำกว่า 1,200 จุดเป็นจุดเข้าซื้อที่น่าสนใจ กลยุทธ์หลักคือการคัดเลือกหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่ง เช่น AP, CENTEL, DIF, HMPRO และ MTC ควบคู่กับการจัดพอร์ตอย่างสมดุลในหลายสินทรัพย์ ทั้งหุ้น ตราสารหนี้ ทองคำ และ REITs เพื่อสร้างสมดุลระหว่างผลตอบแทนและการลดความผันผวนในระยะยาว

ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์ หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกไตรมาส 4/2568 และปี 2569 มีสัญญาณบวกมากขึ้น หลังสหรัฐฯ กำหนดอัตราภาษี “Reciprocal Tariff” ต่ำกว่าที่ประกาศเดิม โดยประเทศพัฒนาแล้วถูกเก็บราว 15% และประเทศกำลังพัฒนาอย่างไทย 19–20% หนุนให้ GDP โลกปี 2568–2569 อาจขยายตัว 2.9% และ 3.0% ขณะที่ Fed ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยในเดือนกันยายน ท่ามกลางตลาดแรงงานชะลอ แต่ยังเสี่ยงเงินเฟ้อจากภาษีศุลกากร

สำหรับสถานการณ์การเมืองได้ผ่านพ้นจุดที่ค่อนข้างแย่มาแล้ว การมีคณะรัฐมนตรีที่ชัดเจนทำให้ภาพรวมการลงทุนมีทิศทางที่ดีขึ้น และปัจจัยนี้ได้ถูกประเมินรวมเข้าไปในเป้าหมายดัชนีแล้ว แม้จะมีการคาดการณ์ว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันอาจมีอายุไม่ยาวนานและอาจเห็นการเลือกตั้งใหม่ในปีหน้า (คาดว่าช่วงครึ่งปีแรก) แต่กระบวนการงบประมาณปีหน้าคาดว่าจะสามารถเดินหน้าต่อไปได้ตามแผน ซึ่งช่วยลดความกังวลเรื่องความไม่ต่อเนื่องของนโยบาย

อย่างไรก็ดี มองว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยมาอย่างต่อเนื่อง และยังมีมุมมองว่าจะมีการปรับลดลงอีกในอนาคต ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed)

โดยปีนี้คาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 1 ครั้งในการประชุมครั้งหน้า ในอัตรา 0.25% ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 1.25% ขณะที่ปี 2569 คาดการณ์ว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้อีกประมาณ 2 ครั้ง

ส่วนนโยบายการเงินของไทยถูกมองว่า “ผ่อนคลายน้อยกว่าประเทศอื่นโดยเปรียบเทียบ” ทำให้เงินบาทแข็งค่ากว่าสกุลเงินในภูมิภาค

ด้านทิศทางค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่มีแนวโน้มอ่อนค่าลง เป็นปัจจัยสนับสนุนการลงทุนในตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) รวมถึงประเทศไทย และส่งผลให้ค่าเงินในเอเชียแข็งค่าขึ้นเกือบทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม การปรับแนวโน้มอันดับเครดิต มองว่าผลกระทบการที่ Fitch มีการปรับแนวโน้มอันดับเครดิตของไทยไม่ใช่เรื่องใหม่และเป็นสิ่งที่ตลาดคาดการณ์ไว้อยู่แล้ว ผลกระทบในระยะสั้นอาจเป็นเชิงจิตวิทยา แต่เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติไม่ได้มีสัดส่วนการลงทุนในตลาดทุนไทยมากนัก ผลกระทบจึงมีจำกัด

โดยนักวิเคราะห์ประเมินทิศทางการลงทุนในช่วงครึ่งหลังปีนี้ โดยแนะนำให้น้ำหนักเชิงบวก (Positive) กับกลุ่ม พาณิชย์ (Commerce), กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (REITs), สื่อสาร (Telecom), การเงินสำหรับผู้บริโภค (Consumer Finance), อสังหาริมทรัพย์ (Property) และการท่องเที่ยว (Tourism) จากปัจจัยสนับสนุนหลัก ได้แก่ แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยปรับตัวลดลง และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มท่องเที่ยวที่คาดว่าจะเป็นไฮไลท์ในช่วง 1–2 ไตรมาสข้างหน้า

ขณะที่กลุ่มที่เหมาะสำหรับการลงทุนเชิงจังหวะ (Opportunistic) ได้แก่ สาธารณูปโภค (Utility) และการบิน (Airline) ซึ่งได้รับประโยชน์จากค่าเงินบาทแข็งค่า แม้ปัจจัยพื้นฐานอาจยังไม่แข็งแกร่งมากนัก จึงเหมาะสำหรับการลงทุนระยะสั้นหรือการเก็งกำไรเป็นรอบ

ส่วนกลุ่มที่แนะนำให้หลีกเลี่ยง (Avoid) ได้แก่ ธุรกิจการเกษตร (Agri-Business), ยานยนต์ (Automotive) และอิเล็กทรอนิกส์ (Electronics) เนื่องจากได้รับแรงกดดันเชิงลบจากปัจจัยเฉพาะกลุ่ม อาทิ ค่าเงินบาทแข็งค่าและแนวโน้มอุตสาหกรรมที่ยังเผชิญความท้าทาย

ขณะที่ ดร.รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ Head of Investment Strategy Department และ Trading Product Specialist Department บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า ด้านตราสารหนี้ แนะนำลงทุนระยะสั้น–กลาง เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของพันธบัตรระยะยาว ส่วนสินทรัพย์ทางเลือก ทองคำยังเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ ขณะที่ REITs ได้อานิสงส์จากดอกเบี้ยขาลงและเศรษฐกิจโลกฟื้น โดย REITs ไทยน่าสนใจกว่า REITs โลกจาก Dividend yield ที่สูงกว่า นอกจากนี้ สินทรัพย์ดิจิทัลยังได้แรงหนุนจากกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนขึ้นในหลายประเทศ สร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน ดังนั้น ควรจัดพอร์ตแบบผสมผสานเพื่อสร้างโอกาสผลตอบแทนควบคู่กับการลดความเสี่ยงระยะยาว

กองทุนเด่นประจำไตรมาสเพื่อกระจายความเสี่ยงและสร้างโอกาสรับผลตอบแทน ได้แก่ หุ้นจีน KFCSI300-A, หุ้นยุโรป ES-EG-A, ทองคำ UOBSG-H และ REITs ไทย MPDIVMF สำหรับผู้สนใจหุ้นจีน สามารถลงทุนผ่าน DR23 ที่คัดเลือกหุ้นชั้นนำในธีมการเติบโตระยะยาว อาทิ CATL23, HSHD23, SMIC23, BABA23, KUAISH23 อีกทั้งยังสามารถใช้ US Options เพื่อเพิ่มผลตอบแทนและป้องกันความเสี่ยงในหุ้นสหรัฐฯ รวมถึงใช้ USD Futures ผ่านตลาด TFEX เพื่อบริหารความเสี่ยงค่าเงินได้เช่นกัน

Back to top button