
จับตา TURBO เทรดวันแรกเหนือจอง โบรกเคาะเป้า 2.30 บ. มาร์เก็ตแคปไอพีโอใหญ่สุด 4 พันลบ.
TURBO เทรดวันแรกเหนือจอง โบรกเคาะเป้าสูงสุด 2.30 บาท มาร์เก็ตแคปไอพีโอใหญ่สุด 4 พันล้านบาท เข้าซื้อขายตลาด SET ระดมทุนลุยขยายสาขา–พอร์ตสินเชื่อ ฟากบล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ คาดกำไรปี 68-70 เติบโตเฉลี่ย 20%
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (30 ก.ย. 68) หลักทรัพย์ของ บริษัท เงินเทอร์โบ จำกัด (มหาชน) หรือ TURBO เข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เป็นวันแรก และเป็นหลักทรัพย์ SET ตัวแรกของปีนี้ และถือเป็นหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปใหญ่สุดของปีนี้เช่นกัน โดยหุ้นเทรดภายใต้กลุ่มอุตสาหกรรมกลุ่มอุตสาหกรรมธุรกิจการเงิน หมวดเงินทุนและหลักทรัพย์ โดยใช้ชื่อย่อ ‘TURBO’ ในการซื้อขายหลักทรัพย์
สำหรับ TURBO ให้บริการสินเชื่อภายใต้การกำกับของ ธปท. ได้แก่ สินเชื่อส่วนบุคคลที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน และสินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพ นอกจากนี้ ยังให้บริการสินเชื่อโฉนดที่ดิน ธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัย และประกันชีวิต และธุรกิจจำหน่ายสินค้าเงินสดและเงินผ่อน ภายใต้ชื่อทางการค้า “เงินเทอร์โบ” โดยมีทุนชำระแล้วหลัง IPO 1,335 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท เสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 537 ล้านหุ้น ประกอบด้วยหุ้นสามัญเพิ่มทุน 447.78 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเดิมของ บริษัท กสิกร วิชั่น จำกัด (KVISION) 89.22 ล้านหุ้น โดยเสนอขายที่ราคาหุ้นละ 1.50 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุนจากหุ้นใหม่ 671.67 ล้านบาท โดยมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO มูลค่า 4,005 ล้านบาท โดยมีธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญ
โดยการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯและเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้ บริษัทมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเงินไปใช้ขยายธุรกิจให้บริการทางการเงินของกลุ่มบริษัทฯ โดยจะขยายสาขาเพิ่มจาก 996 แห่งใน 54 จังหวัด ณ สิ้นเดือนมิ.ย.2568
ด้านนายสุธัช เรืองสุทธิภาพ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TURBO เปิดเผยว่า บริษัทฯ มุ่งเป็นผู้ให้บริการทางการเงินที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าซึ่งไม่สามารถเข้าถึงบริการการเงินจากระบบธนาคารได้ครบถ้วน โดยมีเป้าหมายให้ทุกชุมชนเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่น่าเชื่อถือและสมเหตุสมผล ปัจจุบันแบ่งธุรกิจออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ ธุรกิจสินเชื่อ (เช่น สินเชื่อจำนำทะเบียนรถ สินเชื่อโฉนดที่ดิน และนาโนไฟแนนซ์) ธุรกิจนายหน้าประกันภัยและประกันชีวิต และธุรกิจจำหน่ายสินค้าเงินสด-เงินผ่อน โดยมีสาขาแล้ว 996 แห่ง ครอบคลุม 54 จังหวัดทั่วประเทศ
สำหรับ TURBO มีจุดแข็งหลัก 3 ด้าน ได้แก่ 1) การบริการรวดเร็วและเข้าใจลูกค้า ด้วยการใช้เทคโนโลยีช่วยประเมิน-อนุมัติสินเชื่อ ควบคู่กับการพัฒนาศักยภาพพนักงาน ทำให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจและบอกต่อ คิดเป็นสัดส่วนถึง 20% ของลูกค้าใหม่ในครึ่งปีแรก 2) การขับเคลื่อนองค์กรผ่านเทคโนโลยี โดยมีพนักงานฝ่ายเทคโนโลยีและข้อมูลคิดเป็น 32.3% ของสำนักงานใหญ่ ช่วยพัฒนาระบบที่ยืดหยุ่นและควบคุมต้นทุนได้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม (1.3 ล้านบาทต่อสาขา เทียบค่าเฉลี่ย 2.3 ล้านบาท) 3) การบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านระบบติดตามข้อมูลและเทคโนโลยี ทำให้ควบคุมคุณภาพสินเชื่อได้ โดยมีอัตราส่วนรายได้รวมหักค่าใช้จ่ายผลขาดทุนด้านเครดิตสูงสุดในอุตสาหกรรมที่ 21.8%
ทั้งนี้แม้เศรษฐกิจมีความท้าทาย แต่ TURBO ยังคงเติบโตโดดเด่น พอร์ตสินเชื่อขยายตัวจาก 3,282 ล้านบาทในปี 2563 เป็น 11,263 ล้านบาท ณ 30 มิ.ย. 2568 และยังรักษาอัตราดอกเบี้ยรับ (Yield on Loan) อยู่ในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม โดยครึ่งแรกปี 2568 อยู่ที่ 24.2% เทียบกับตลาดเฉลี่ย 17.5%
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด หรือ ASPS ระบุในบทวิเคราะห์ว่า TURBO ผู้ประกอบการสินเชื่อรายย่อยที่จิ๋วแต่แจ๋ว (สินเชื่อ ณ สิ้นงวดไตรมาส 2/2568 ราว 1.1 หมื่นล้านบาท หลักๆ คือสินเชื่อจำนำทะเบียน) หลังผ่านร้อนผ่านหนาวช่วงปี 2566-67 ทั้งวัฎจักรดอกเบี้ยและ NPL ขาขึ้น นำไปสู่การปรับนโยบายสินเชื่อใหม่ช่วยให้ระดับ NPL ณ ปัจจุบัน มีสัญญาณดีขึ้น รวมถึงภาระการตั้งสำรองต่ำลงประกอบกับวงจรดอกเบี้ยที่กลับเป็นขาลง ซึ่งหนี้ที่มีดอกเบี้ยของบริษัทฯ ส่วนใหญ่เป็นหนี้ธนาคาร (อิงกับ M-Rate) ภาพรวมทำให้กำไรสุทธิครึ่งแรกปี 68 อยู่ที่ 236 ล้านบาท ฟื้นตัวจาก 61 ล้านบาท งวดครึ่งแรกปี 2567
โดยบริษัทเสนอขายหุ้น IPO จำนวนรวมไม่เกิน 537 ล้านหุ้น (พาร์ 0.5 บาท) คิดเป็นสัดส่วน 20.1% ของหุ้นจดทะเบียนชำระแล้วหลัง IPO (2.67 พันล้านหุ้น) แบ่งเป็นหุ้นใหม่จำนวน 447.78 ล้านหุ้น และหุ้นของผู้ถือหุ้นเดิมอย่าง บริษัท กสิกร วิชั่น จำกัด จำนวน 89.22 ล้านหุ้น
ฝ่ายนักวิเคราะห์ได้คาดการณ์กำไรสุทธิปี 2568 อยู่ที่ 525 ล้านบาท เพิ่มจาก 142 ล้านบาทในปี 2567 สนับสนุนด้วย Credit cost และ Cost to income ratio มีพัฒนาการ รวมถึงรายได้เติบโต ส่วนอัตราการเติบโตของกำไรปี 2569-70 เฉลี่ยอยู่ที่ 22% จากสินเชื่อเพิ่มและการบริหารค่าใช้จ่าย หนุน ROE อยู่ที่ 16% ดีกว่ากลุ่มฯ ที่เติบโต 10%-11% และมี ROE อยู่ที่ 15%
โดยอิง GGM ได้ PBV อยู่ที่ 1.4 เท่า ให้ราคาเป้าหมาย FV ปี 2569 อยู่ที่ 2.30 บาท (เทียบเท่า PER 10 เท่า) ในมุมฝ่ายนักวิเคราะห์มองว่า TURBO มีจุดเด่นจากแนวโน้มการเติบโตและ ROE ดีกว่ากลุ่มฯ อีกทั้งรับประโยชน์จากวงจรดอกเบี้ยขาลงเร็วกว่ากลุ่มฯ เนื่องจากใช้เงินกู้ยืมจากธนาคารเป็นหลัก นอกจากนี้ ประเมินว่า NPL ผ่านจุดเลวร้ายสุดไปแล้วช่วยให้การจัดการ Credit cost มีความคล่องตัวมากขึ้น โดยรวมถือเป็นอีก 1 ตัวเลือก ในธีมดอกเบี้ยขาลง
บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บริษัทใช้เวลาไม่นานในการก้าวเข้าสู่ตลาดสินเชื่อจำนำทะเบียน TURBO ก่อตั้งในปี 2560 โดยคุณสุธัช เรืองสุทธิภาพและ ครอบครัวตั้งมิตรประชา (ผู้ถือหุ้นใหญ่ DOHOME) เพื่อประกอบธุรกิจสินเชื่อที่มีทะเบียนรถ โฉนดที่ดินเป็นประกัน และสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ TURBO มุ่งเน้นกลยุทธ์ที่แตกต่างผ่านการให้บริการที่รวดเร็ว สะดวก ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลางอัน นำมาซึ่งการบอกต่อของลูกค้าการออกแบบกระบวนการธุรกิจและการเก็บข้อมูลเชิงลึกอย่างครบถ้วนเมื่อรวมกับการสร้าง การรับรู้ แบรนต์และการขยายสาขาให้ครอบคลุมพื้นที่ TURBO จึงใช้เวลาไม่นานในการทำให้สินเชื่อเติบโตรวดเร็ว 32% CAGR เป็น 1.13 หมื่นล้านบาท ณ ครึ่งแรกปี 2568
มองว่า TURBO ยังมีจุดเด่นสำคัญในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ทั้งเงินกู้ยืมจาก สถาบันการเงิน และการออกหุ้นกู้ ต้นทุนการเงินของ TURBO แทบไม่ต่างจากคู่แข่งเดิมแม้ขนาดธุรกิจเล็กกว่า การเข้าจด ทะเบียนใน SET จะยิ่งเพิ่มความหลากหลายของแหล่งเงินทุนและต้นทุนการเงินต่ำลงในมุมมองของเรา
ปรับกลยุทธ์ธุรกิจเพื่อสร้างฐานธุรกิจให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นด้วยความท้าทายทางเศรษฐกิจและการขยายธุรกิจเชิงรุกทำ ให้ TURBO ประสบปัญหาคุณภาพลูกหนี้ NPL สูงขึ้นจาก 2.8% ณ สิ้้นปี 2565 เป็น 4.2% ณ สิ้นปี 2567 ทำให้ Credit cost เพิ่มขึ้นมากตาม TURBO ใช้เวลาปรับกลยุทธ์ธุรกิจใหม่โดยเฉพาะการบริหารความเสี่ยง ผ่านการชะลอการเปิดสาขา การอนุมัติสินเชื่อที่รัดกุมยิ่งขึ้นการติดตามทวงถามหนี้ให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น และการ Write-off สินเชื่อเพื่อรักษาคุณภาพพอร์ตสินเชื่อในครึ่งปีแรก 2568 เริ่มเห็นผลบวกของกระบวนการเหล่านี้ผ่าน NPLและ Credit cost ที่ลดลงมาก
โดยมองว่า TURBO พร้อมแล้วที่จะเติบโตอย่างก้าวกระโดด หลังจากใช้เวลากับการสร้างความเข้มแข็งให้กับฐานธุรกิจ ามองว่า TURBO พร้อมแล้วที่จะกลับมาขยายธุรกิจเชิงรุกเพื่อเติบโตอย่างก้าวกระโดดอีกครั้งผ่านการขยายสาขา การ เพิ่มพอร์ตสินเชื่อต่อสาขา การมุ่งสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น และการมีระบบฐานข้อมูลและเทคโนโลยีที่มี ประสิทธิภาพสูง เมื่อประกอบกับฐานลูกค้าที่กว้างขวางที่ยังเข้าไม่ถึงบริการทางการเงินของธนาคาร รวมถึงขนาดธุรกิจ ที่ยังไม่ใหญ่มาก ก็จะยิ่งทำให้สินเชื่อเติบโตสูงโดดเด่นกว่าคู่แข่งใน 2-3 ปี ข้างหน้า
อีกทั้งคาดกำไรปี 2568-2570 เติบโตเฉลี่ย 20% โดดเด่นที่สุดในกลุ่มฯ คาดกำไรปี 2568-2570 ของ TURBO เติบโตเฉลี่ย20% จาก 484 ล้านบาทในปี 2568 เป็น 602 ล้านบาท และ 694 ล้านบาท ในปี 2569-2570 ด้วยปัจจัยสนับสนุนจากสินเชื่อเติบโตเฉลี่ย 11% จากการขยายสาขา 70 สาขา/ปี และการเพิ่มขึ้นของมูลค่ายอดสินเชื่อต่อสาขาเดิม คาดว่า NIM จะเพิ่มขึ้นจาก 20.7% เป็น 21.0% จากการขยายพอร์ตสินเชื่อที่ให้ผลตอบแทนสูง และการใช้เงินจาก IPO มาขยายสินเชื่อ รวมถึงคาดว่า Cost-to-income ratio ลดลงตามการประหยัดต่อขนาด และคาด Credit cost ลดลงจาก 5.6% ในปี 2568 เป็น 5.0% ในปี 2570 ตามคุณภาพสินเชื่อดีขึ้นส่งผลให้มูลค่าลูกหนนี้้ที่โอนไปทรัพย์สินรอการขายและการตัดหนี้สูญลดลง ทั้งหมดนี้จะเป็นปัจจัยหนุนให้กำไรเติบโตได้ดีกว่ารายได้ดอกเบี้ยรับรับสุทธิที่เติบโต ซึ่งจะหนุนให้ ROE เพิ่มขึ้นจาก 5.5-5.6% ในปี 2566-2567 เป็น 14.8% ในปี 2568 และ14.4% ในปี 2569 และ 14.7% ในปี 2570 โดยถือเป็นการเติบโตที่โดดเด่น ที่สุดในกลุ่มสินเชื่อจำนำทะเบียนที่จดทะเบียนใน SET
การประเมินราคาเป้าหมายพื้นฐานของ TURBO ที่ 2.20 บาท อิง FY69F P/B 1.33 เท่า ซึ่งคำนวณมาจากวิธี GGM โดยราคาเป้าหมายดังกล่าวเทียบเท่า FY69F P/E 9.8 เท่า P/B เป้าหมายใกล้เคียง กับค่าเฉลี่ยของกลุ่มฯขณะที่ ROE ของ TURBO ที่อยู่ในช่วง 14-15% ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มฯที่ 15% มองว่า TURBO มีความน่าสนใจจากจุดแข็งของผู้ถือหุ้นทีมผู้บริหารที่แข็งแกร่ง กลยุทธ์ธุรกิจที่แตกต่าง ความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน รวมถึงการเข้าจดทะเบียนใน SETและฐานธุรกิจที่ยังไม่ใหญ่จะช่วยให้เติบโต อย่างก้าวกระโดดในอนาคต