ทำความรู้จัก ONSENS หุ้นใหม่กระแสแรง! รับดีมานด์ Wellness & Spa โต จ่อลงเทรด 7 ต.ค.นี้

ONSENS หุ้นเมกะเทรนด์สุขภาพ เตรียมเข้าจดทะเบียน SET วันที่ 7 ต.ค.นี้ เสนอขายไอพีโอ 80 ล้านหุ้น มูลค่าระดมทุน 164 ล้านบาท นำเงินเปิดโครงการ Social Wellness Hotel ต่อยอดแบรนด์ออนเซ็นและสปาครบวงจร ตั้งเป้าเปิดสาขาใหม่ KLAI และ PAK อีก 7 แห่งในปี 70 พร้อมนโยบายจ่ายปันผลไม่ต่ำกว่า 40%


บริษัท ออนเซ็น รีทรีต แอนด์ สปา กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ONSENS ผู้ให้บริการออนเซ็นและสปาเพื่อสุขภาพ ภายใต้แบรนด์ “ยูโนะโมริ ออนเซ็น แอนด์ สปา” และ “คลาย สปา” รวมถึงแบรนด์น้องใหม่ไซส์เล็กอย่าง “พัก” เตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในวันที่ 7 ตุลาคม 2568 กลุ่มอุตสาหกรรมบริการ หมวดธุรกิจการท่องเที่ยวและสันทนาการ

โดยบริษัทได้ดำเนินการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 80 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 26.67 ของจำนวนหุ้นทั้งหมดหลังการเพิ่มทุน แบ่งเป็นหุ้นเสนอขายให้กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานจำนวน 8 ล้านหุ้น และเสนอขายต่อประชาชนทั่วไปจำนวน 72 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 2.05 บาท รวมมูลค่าการระดมทุนทั้งสิ้น 164 ล้านบาท

สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุน 164 ล้านบาท บริษัทแบ่งใช้เป็น 3 ก้อน ได้แก่ 1.ใช้เป็นเงินลงทุนในในโครงการ Social Wellness Hotel and Spa ทองหล่อในส่วนพื้นที่สำหรับให้บริการออนเซ็นและสปา และพื้นที่เชิงพาณิชย์สำหรับให้เช่าร้านค้า จำนวน 120 ล้านบาท, 2.ชำระคืนเงินกู้ยืมกับสถาบันการเงิน จำนวน 10 ล้านบาท และ 3.ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ จำนวน 17.78 ล้านบาท พร้อมกันนี้ บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิจากงบเฉพาะกิจการภายหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และเงินสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายและข้อบังคับของบริษัท

นายสมิทธิ์ เมฆอรุณกมล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ONSENS เปิดเผยว่า บริษัทดำเนินธุรกิจให้บริการออนเซ็นสไตล์ญี่ปุ่นและสปาครบวงจรในประเทศไทยมากว่า 13 ปี ภายใต้แบรนด์ Yunomori Onsen & Spa และยังเตรียมขยายแบรนด์ใหม่เพิ่มเติมเช่น Klai และ Pak Massage เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าหลากหลายกลุ่ม

โดยแบรนด์ Yunomori เป็นผู้ให้บริการออนเซ็นสไตล์ญี่ปุ่นแห่งแรกของประเทศไทยในรูปแบบ Day Pass (1 วันราคา 650 บาท)มีความโดดเด่นด้วยประเภทบ่อออนเซ็นที่มีความหลากหลายสำหรับให้บริการแก่ลูกค้าไม่ว่าจะเป็นบ่อยูโนะโมริซิกเนเจอร์ บ่อน้ำร้อนธรรมชาติ บ่อน้ำวน บ่อซิลค์บาธ บ่อบับเบิ้ลบาธ บ่อน้ำเย็น ซึ่งแต่ละบ่อจะมีคุณสมบัติในการช่วยเสริมสร้างสุขภาพที่แตกต่างกันเพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ลูกค้า ปัจจุบัน Yunomori มีสาขาจำนวน 4 สาขา แบ่งเป็น สาขาในประเทศไทย 3 สาขา ได้แก่ สาขาสุขุมวิท 26, สาขาสาทร 10 และสาขาพัทยา และสาขาในประเทศสิงคโปร์จำนวน 1 สาขา

ส่วนแบรนด์ KLAI จะให้บริการเฉพาะบริการสปาในรูปแบบเดย์สปา (Day Spa) ที่เน้นการนวดเพื่อสุขภาพโดยนำเสนอเอกลักษณ์ความเป็นไทยผ่านการนวดผ่อนคลายด้วยการยืดดัดส่วนต่างๆ ของร่างกายภายใต้แนวคิด “Exotic & Friendly” โดยบริษัทฯ ได้เปิดให้บริการสปาแบรนด์ KLAI สาขาแรกซึ่งเป็นสาขา Flagship Store ที่ย่านเยาวราช เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2567

ขณะที่ธุรกิจอื่น ได้แก่ 1.ธุรกิจจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มภายใต้ชื่อร้าน “Happy Rice” ซึ่งเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นสไตล์โฮมเมดตั้งอยู่ในสาขาของ Yunomori ทุกสาขา เพื่อรองรับลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการออนเซ็นหรือสปาเป็นหลัก และ 2.ธุรกิจจำหน่ายผลิตภัณฑ์ต่างๆ

ประเภทของใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น ชุดยูกาตะ, ผ้าพันคอ, ร่ม,กระติกน้ำ, แก้วกาแฟ และ หมอน ที่ออกแบบร่วมกับศิลปินที่มีชื่อเสียง (Collaboration) เพื่อให้เกิดเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์สวยงาม และสามารถนำมาใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน

ขณะที่ผลการดำเนินงานในปี 2568 ช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาอ่อนตัวลงเล็กน้อยจากภาวะท่องเที่ยวและกำลังซื้อที่ชะลอตัว อย่างไรก็ตาม คาดว่าผลการดำเนินงานจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 3 และจะพีกสุดในไตรมาส 4 ซึ่งเป็นไฮซีซั่นของธุรกิจ โดยฐานลูกค้าหลักยังเป็นตลาดในประเทศประมาณ 65–70% ชาวต่างชาติราว 30% ซึ่งแม้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลงราวหนึ่งในสาม แต่ผลกระทบต่อรายได้รวมของบริษัทมีจำกัด (ราว 2–2.5%) น้อยมากเมื่อเทียบกับผู้ประกอบธุรกิจในรูปแบบเดียวกัน

นายสมิทธิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทมีเป้าหมายขยายสาขาภายใต้แบรนด์ KLAI และ PAK เพิ่มอีก 7 แห่งภายในปี 2570 เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าใหม่และครอบคลุมฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น อีกทั้งบริษัทยังมีจุดแข็งในเรื่องของฐานลูกค้าคนไทยที่แข็งแกร่ง รวมถึงทำเลที่ตั้งของแต่ละสาขาที่อยู่ในพื้นที่ของแหล่งท่องเที่ยว

นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน เปิดเผยว่า ONSENS ถือเป็นผู้บุกเบิกการให้บริการออนเซ็นสไตล์ญี่ปุ่นและสปาครบวงจรในประเทศไทยมากว่า 13 ปี มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีเกือบร้อยละ 19 และรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ในระดับสูงที่ร้อยละ 40-45 อีกทั้งมีฐานะการเงินมั่นคง โดยมีอัตราหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเพียง 0.3 เท่า

นอกจากนี้กลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมกว่า 99% ได้แสดงเจตจำนงสมัครใจที่จะไม่จำหน่ายหุ้นเพิ่มเติมนอกเหนือจากข้อกำหนด Silent Period ของตลาดหลักทรัพย์ เป็นเวลา 6 เดือน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนว่าการลงทุนใน ONSENS เป็นการลงทุนระยะยาวบนพื้นฐานธุรกิจที่มั่นคง

ล่าสุด ONSENS ได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากนักลงทุนในการจองซื้อหุ้นไอพีโอ เนื่องจากเป็นหุ้นเมกะเทรนด์ที่เกี่ยวข้องกับการดูแลรักษาสุขภาพ นอกจากนี้ยังเป็นหุ้นที่มีพื้นฐานทางการเงินแข็งแกร่ง เป็นธุรกิจที่มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่สูง ประกอบกับศักยภาพการทำกำไรสูง จากการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพอีกทั้งธุรกิจของบริษัทยังมีโอกาสเติบโตที่ชัดเจน จากแผนขยายธุรกิจ-ฐานลูกค้าภายหลังการระดมทุน

Back to top button