
“ทองฟิวเจอร์” ทะลุ 4,000 เหรียญ นักลงทุนแห่ซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย หนีวิกฤตชัตดาวน์สหรัฐ
ราคาทองฟิวเจอร์ทำสถิติสูงสุดใหม่ทะลุ 4,000 ดอลลาร์/ออนซ์ นักลงทุนแห่ซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางวิกฤตชัตดาวน์สหรัฐ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาทองคำในตลาดโลกปรับตัวพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ โดยราคาทองคำฟิวเจอร์สทะลุระดับ 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่ราคาทองคำสปอตแตะระดับ 3,982.30 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เพิ่มขึ้น 30.27 ดอลลาร์ หรือ 0.77% ณ เวลา 20.05 น.ตามเวลาไทย
สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือนธันวาคม ปรับเพิ่มขึ้น 26.00 ดอลลาร์ หรือ 0.65% แตะระดับ 4,002.30 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยได้รับแรงหนุนจากความวิตกต่อภาวะการปิดหน่วยงานรัฐบาล (ชัตดาวน์) ของสหรัฐ ซึ่งเข้าสู่วันที่ 7 และความคาดหวังว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเดินหน้านโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย
ราคาทองคำปรับตัวขึ้นแล้วกว่า 51% ตั้งแต่ต้นปี หลังจากเพิ่มขึ้น 27% ในปีที่ผ่านมา โดยได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ นโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย การเข้าซื้อทองของธนาคารกลางทั่วโลก ความต้องการจากกองทุน ETF ทองคำ รวมถึงความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์
ยูบีเอส (UBS) คาดการณ์ว่าราคาทองคำมีแนวโน้มปรับขึ้นต่อเนื่องแตะระดับ 4,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ภายในสิ้นปีนี้ ขณะที่โกลด์แมน แซคส์ (Goldman Sachs) ปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาทองคำแตะ 4,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ภายในเดือนธันวาคม 2569 จากเดิม 4,300 ดอลลาร์
ทั้งนี้ ภาวะชัตดาวน์ของรัฐบาลสหรัฐเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม นับเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 7 ปี และเป็นครั้งที่ 3 ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยยังไม่มีความคืบหน้าในการเจรจาระหว่างพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันในการผ่านร่างงบประมาณชั่วคราว ทำให้มีแนวโน้มจะเป็นการชัตดาวน์ที่ยาวนานเป็นอันดับ 4 ในประวัติศาสตร์สหรัฐ
ประธานาธิบดีทรัมป์ได้โพสต์ข้อความผ่าน Truth Social กล่าวโทษพรรคเดโมแครตว่าเป็นต้นเหตุของการปิดหน่วยงานรัฐบาล พร้อมเรียกร้องให้ผ่านงบประมาณชั่วคราวเพื่อให้รัฐบาลกลับมาเปิดทำการโดยเร็ว
ตลาดกำลังจับตาถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ซึ่งมีกำหนดขึ้นพูดในวันที่ 9 ตุลาคมนี้ เพื่อประเมินทิศทางนโยบายดอกเบี้ยและผลกระทบต่อเศรษฐกิจจากภาวะชัตดาวน์
ทั้งนี้ ข้อมูลจาก CME FedWatch Tool ระบุว่านักลงทุนให้น้ำหนัก 92.5% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 3.75-4.00% ในการประชุมเดือนตุลาคม และให้น้ำหนัก 79.7% ที่จะปรับลดอีก 0.25% สู่ระดับ 3.50-3.75% ในการประชุมเดือนธันวาคมนี้.