
“ดาวโจนส์” ปิดร่วง 900 จุด ผวา “ทรัมป์” จุดชนวนสงครามการค้า “จีน” รอบใหม่
“ดัชนีดาวโจนส์” ร่วงแรง 878 จุด หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเก็บภาษีสินค้าจีนเพิ่ม 100% และควบคุมการส่งออกซอฟต์แวร์สำคัญจากสหรัฐฯ กดดันหุ้นเทคโนโลยีร่วงหนัก นำโดย Nvidia, Tesla และ Amazon
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดัชนีดาวโจนส์ ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงอย่างหนักในวันศุกร์ที่ 10 ตุลาคม 2568 หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐอเมริกา ประกาศยกระดับความขัดแย้งทางการค้ากับจีน โดยเพิ่มภาษีนำเข้าจากจีนอีก 100% และเตรียมควบคุมการส่งออกซอฟต์แวร์สำคัญที่ผลิตในสหรัฐฯ เพื่อกดดันปักกิ่ง ภายหลังจีนเข้มงวดมาตรการจำกัดการส่งออก “แร่หายาก” ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและกลาโหม
โดยดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 45,479.60 จุด ลดลง 878.82 จุด หรือ –1.90% ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 6,552.51 จุด ลดลง 182.60 จุด หรือ –2.71% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 22,204.43 จุด ลดลง 820.20 จุด หรือ –3.56% โดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ร่วงลงหนัก นำโดย Nvidia, Tesla, Amazon และ Advanced Micro Devices ที่ลดลงมากกว่า 2% หลังทรัมป์โพสต์ข้อความบน Truth Social ว่ากำลังพิจารณาเก็บภาษีนำเข้าจากจีนเพิ่มเติมอย่างมหาศาล พร้อมระบุว่า “ไม่มีเหตุผล” ที่จะพบประธานาธิบดีสี จิ้นผิงในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า
ด้านดัชนี Philadelphia Semiconductor Index ทรุดลง 6.3% ขณะที่ดัชนี CBOE Volatility Index ซึ่งสะท้อนความวิตกของตลาด พุ่งแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา การประกาศของทรัมป์จุดความตื่นตระหนกในตลาดและเพิ่มความตึงเครียดในความสัมพันธ์ระหว่างสองมหาอำนาจเศรษฐกิจโลก
นักวิเคราะห์ชี้ว่า นักลงทุนเลือกเทขายสินทรัพย์เสี่ยงทันทีโดยไม่รอความชัดเจนจากนโยบายของทรัมป์ พร้อมเตือนว่าความผันผวนอาจดำเนินต่อไปในเดือนตุลาคม ซึ่งมักเป็นเดือนแห่งความไม่แน่นอนของตลาดทุน โดยดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ร่วงลงวันเดียวมากที่สุดตั้งแต่เดือนเมษายน และในรอบสัปดาห์นี้ S&P 500 ปรับตัวลงแรงสุดนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม
ทั้งนี้ จีนถือเป็นผู้ผลิตแร่หายากและแม่เหล็กแร่หายากกว่า 90% ของโลก ซึ่งมีความสำคัญต่อการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า เครื่องยนต์อากาศยาน และระบบเรดาร์ทางทหาร การปะทุของสงครามการค้าระลอกใหม่จึงอาจกระทบอย่างรุนแรงต่อห่วงโซ่อุปทานโลก โดยเฉพาะภาคเทคโนโลยีและพลังงานทางเลือก
ขณะที่หุ้นของบริษัทจีนที่จดทะเบียนในตลาดสหรัฐฯ ร่วงลงอย่างหนัก นำโดย Alibaba Group, JD.com และ PDD Holdings ที่ลดลงระหว่าง 5.3% ถึง 8.5% ส่วน Qualcomm ดิ่งลง 7.3% หลังทางการจีนเริ่มสอบสวนการผูกขาดกรณีเข้าซื้อกิจการ Autotalks จากอิสราเอล
สถานการณ์ยังซ้ำเติมด้วยภาวะ “ชัตดาวน์” ของรัฐบาลสหรัฐฯ ต่อเนื่องเป็นวันที่ 10 เนื่องจากสภาคองเกรสไม่สามารถบรรลุข้อตกลงงบประมาณ ส่งผลให้ข้อมูลเศรษฐกิจจากหน่วยงานรัฐไม่สามารถเผยแพร่ได้ ขณะที่ข้อมูลจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนชี้ว่า ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนตุลาคมยังอยู่ใกล้ระดับต่ำสุดในประวัติการณ์ จากราคาสินค้าที่สูงและแนวโน้มการจ้างงานที่อ่อนแอ
นักลงทุนจับตาท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เกี่ยวกับการปรับลดดอกเบี้ยในระยะสั้น โดยคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ ผู้ว่าการเฟด ระบุว่า แม้ตลาดแรงงานเริ่มอ่อนแอ แต่ควรดำเนินนโยบายการเงินอย่างระมัดระวัง ขณะที่อัลแบร์โต มูซาเลม ประธานเฟดสาขาเซนต์หลุยส์ เห็นพ้องว่าอาจต้องลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมเพื่อพยุงเศรษฐกิจแต่ต้องไม่ผ่อนคลายเกินไป
ทั้งนี้ สถาบันการเงินรายใหญ่ของสหรัฐฯ เช่น JPMorgan Chase, Goldman Sachs, Citigroup และ Wells Fargo เตรียมประกาศผลประกอบการไตรมาส 3 ในวันที่ 14 ตุลาคม ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นของฤดูกาลรายงานงบไตรมาส 3 โดยนักวิเคราะห์คาดว่ากำไรของบริษัทในดัชนี S&P 500 จะเติบโต 8.8% เมื่อเทียบกับปีก่อน ลดลงจาก 13.8% ในไตรมาส 2 และ 9.1% ในไตรมาส 3 ของปี 2567 ตามข้อมูลจาก LSEG